ReadyPlanet.com


ให้ที่ดินแล้วจะเอาคืน


  1.    ดิฉันมีเรื่องที่จะปรึกษาค่ะ คือว่า แม่ของดิฉันได้ซื้อที่ดินที่พร้อมกันกับน้า(เป็นที่ดินติดกัน) ตอนไปทำเรื่องออกโฉนดที่ดิน น้าบอกว่าให้ออกโฉนดเป็นใบเดียว คือชื่อของเขา (น้าเป็นครู) แม่ของดิฉันไม่ยอมแต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะแม่พูดไม่เก่ง แต่ก็ย้ำบอกตลอดว่าให้ไปโอนแต่น้าก็เฉย มิหนำซ้ำยังมาพูดว่าจะรีบโอนไปไหน  กลัวญาติพี่น้องแย่งกินที่ดินหรืออย่างไร (แม่ไม่ได้เรียนหนังสือ) ก็เลยปล่อยเลยตามเลย ต่อมาเมื่อแม่ของดิฉันเสียชีวิตลง น้าแกได้มาขอทำกำแพงล้อมบริเวณบ้านที่สองหลังไว้ ดิฉันไม่ยอม น้าแกก็เลยไปพูดกับพ่อของดิฉัน(แก่มากแล้ว) พ่อก็ไม่ว่าอะไรเพราะเขาว่าพ่อเป็นผู้อาศัย น้าเขาก็เลยทำกำแพงล้อมจนเสร็จ ดิฉันทนไม่ได้ก็เลยไปบอกให้น้าทำเรื่องโอนแบ่งโฉนดที่ดินออกในส่วนที่เป็นของแม่ น้าก็พาไปทำ โดยที่ไม่ให้ดิฉันพูดอะไรเลย น้าแกบอกเดี๋ยวแกทำให้ (แกเป็นครูเกษียน รู้จักคนมากเป็นคนกว้างขวาง)  โฉนดที่ได้มาเขียนไว้ว่า เป็นการให้ระหว่างน้ากับหลาน ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไร

           ต่อมาเมื่อไม่นานมานี้เอง ดิฉันจะทำรั้วล้อมบริเวณบ้านของตนเอง ได้ไปขุดหาหลักเขตแดน แต่หาไม่พบ น้าเขาเข้ามาต่อว่าหนู ว่าทำอะไรไม่ปรึกษา แต่ดิฉันก็บอกกับลูกชายของแกไปแล้วและลูกชายของน้าก็บอกว่าให้ไปลองขุดหาดู (ก่อนหน้านั้นน้าแกให้ลูกชายแกมาขอซื้อที่ให้หนูแบ่งขายให้แต่หนูยังไม่ตกลง) น้าก็ไม่ฟัง พูดหาเรื่องตลอด หนูก็เลยบอกว่าจะให้สำนักงานที่ดินเขามาสอบจุด ชี้จุดให้ น้าก็แสดงทีท่าไม่พอใจบอกว่า ถ้าเอาที่ดินมาชี้จุดทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ น้าเขาจะเอาที่ดินและที่นาที่เคยโอนให้กลับคืน ดิฉันพูดอะไรไม่ออกแล้ว ตอนนี้พ่อก็เครียดมาก จะทำอย่างไรดี

2.   หลังคาบ้านของน้ามันล้ำเข้ามาในเขตแดนของเรา น้าเขาบอกว่ามันเป็นธรรมดา จริงหรือเปล่าค่ะ ทั้งๆที่ ที่ดินก็คนละผืน ไม่ทราบว่าอย่างนี้ถือเป็นการบุกรุกล้ำที่ไหมค่ะ แล้วเราทำอะไรได้บ้าง

3.   ถ้าให้สำนักงานที่ดินมาชี้จุดตามโฉนดที่ดิฉันมี เพื่อหาหลักเขตแดน เขาต้องไปวัดพื้นที่ใกล้เคียงด้วยหรือเปล่าค่ะ  หรือวัดเฉพาะที่ดินตามโฉนดของเรา

4.  ในกรณีที่น้าเขาจะเอาที่ดินและที่นากลับคืน เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนค่ะ (น้าเขาเป็นคนกว้างขวาง เส้นใหญ่)  ดิฉันกลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม กลัวโดนกลั่นแกล้ง  ดิฉันไม่เคยที่จะทำอะไรเป็นการรบกวน หรือแสดงอาการอะไรให้เขาไม่พอใจเลย มีแต่ทางฝ่ายเขาที่มาต่อว่า มาหาเรื่องดิฉัน  ดิฉันเป็นคนไม่ค่อยพูด พูดน้อย ไม่อยากวุ่นวาย

5.   ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำปรึกษานะคะ  ขอบคุณคะ

เว็บนี้ดีนะคะ ให้คำปรึกษากับคนทั่วไป ขอบคุณอีกครั้งค่ะ



ผู้ตั้งกระทู้ ชมัยพร :: วันที่ลงประกาศ 2009-11-14 09:53:45


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2006448)

1. เขาไม่มีสิทธิเอาคืนครับ แม้น้าจะเป็นคนให้จริง ๆ น้าก็จะเรียกคืนไม่ได้ครับ การเรียกคืนการให้ต้องเข้าข้อกฎหมายเสียก่อนครับ

มาตรา 531    อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น ท่านว่าอาจจะเรียกได้แต่เพียงในกรณีดั่งจะกล่าวต่อไปนี้
(1) ถ้าผู้รับได้ประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา หรือ
(2) ถ้าผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้าย แรง หรือ
(3) ถ้าผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลา ที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้

ดังนั้นข้อมูลที่ให้มานั้น น้ายังไม่มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ

 2. จากข้อมูลที่เล่ามานั้น การโอนระหว่างคุณกับน้า (เบื้องต้น) เป็นการโอนให้โดยเสน่หา ข้อเท็จจริงจึงถูกมองว่า น้าของคุณในขณะก่อสร้างหลังคาที่ดินยังเป้นกรรมสิทธิ์ของน้าอยู่ จึงเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำในที่ดินของคนอื่นโดยสุจริต  กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 คือคุณมีสิทธิเรียกค่าใช้ดิน และต้องไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่น้า

แต่หากพิสูจน์ได้ว่า เขาสร้างโดยไม่สุจริต น้าก็ต้องรื้อถอนออกไป ซึ่งคงไม่มีใครยอมรับความจริง ง่าย ๆ

 

มาตรา 1312 บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดย สุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอน การจดทะเบียนเสียก็ได้
 

ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ ออกค่าใช้จ่ายก็ได้

 

3. ต้องให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่มีเขตติดต่อมารับรองแนวเขตด้วยครับ

 

4. ตอบไว้ในข้อ 1 แล้วครับ คงเรียกคืนไม่ได้

5. ยินดีครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-11-14 10:31:18


ความคิดเห็นที่ 2 (2006465)

เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ


 เหตุที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุที่จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประพฤติเนรคุณตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (3) นั้น จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ให้มีความจำเป็นเพราะขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีวิต แล้วผู้ให้ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้รับ และผู้รับอยู่ในฐานะที่จะให้ได้โดยไม่เดือดร้อน แล้วผู้รับปฏิเสธที่จะให้นั้น การที่จำเลยจะขายที่ดินที่โจทก์ยกให้แต่ถูกโจทก์ห้ามปราม จำเลยจึงไปอยู่เสียที่อื่นจนโจทก์ต้องไปอาศัยอยู่กับน้องสาวนั้น จะฟังว่าโจทก์ได้ขอความช่วยเหลือจากจำเลยและจำเลยอยู่ในฐานะที่จะให้ความช่วยเหลือโจทก์ได้โดยไม่เดือดร้อน แล้วจำเลยไม่ช่วยเหลือหาได้ไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ตามฟ้อง

 

 


การถอนคืนการให้ต้องได้ความว่า ผู้ให้มีความจำเป็นเพราะขาดแคลนปัจจัยในตการดำรงชีวิต และผู้ให้ได้ไปขอความช่วยเหลือจาก ผู้รับและต้องได้ความอีกว่า"ผู้รับ" อยู่ในฐานะที่จะให้ได้โดยไม่เดือดร้อน แต่ "ผู้รับ" ปฏิเสธที่จะให้

 

คำพิพากษาที่  301/2551

 


โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4870 ตำบลรัตภูมิ อำเภอควนเนียง (ที่ถูกเป็น กิ่งอำเภอควนเนียง) จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยโดยเสน่หา ต่อมาโจทก์แก่ตัวและยากจนลงจนไม่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ ในปี 2543 โจทก์ขอให้จำเลยช่วยเหลือเลี้ยงดูโจทก์ แต่จำเลยซึ่งอยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือเลี้ยงดูโจทก์ได้กลับไม่ได้ช่วยเหลือและทอดทิ้งโจทก์ให้อยู่ตามลำพัง จนโจทก์ต้องมาอาศัยอยู่กับน้องสาวของโจกท์ ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนการให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์เพราะเหตุเนรคุณ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ถอนคืนการให้และให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4870 ตำบลรัตภูมิ อำเภอควนเนียง (ที่ถูกเป็น กิ่งอำเภอควนเนียง) จังหวัดสงขลา พร้อมบ้านบนที่ดินดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ตามเดิม หากจำเลยไม่ไปดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยคืนเอกสารสิทธิหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ดังกล่าวแก่โจทก์

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2540 โจทก์ยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4870 ตำบลรัตภูมิ กิ่งอำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 83 ตารางวา ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) และหนังสือสัญญาให้ที่ดินให้แก่จำเลยต่อมาจำเลยจะขายที่ดินที่โจทก์ยกให้แต่โจทก์ไม่ยอมโดยบอกจำเลยว่า หากขายแล้วโจทก์จะไม่มีที่อยู่ หลังจากนั้นจำเลยก็ไปอยู่เสียที่อื่นไม่เคยมาหาโจทก์อีก โจทก์ต้องไปอาศัยอยู่กับนางอารีย์น้องสาวโจทก์ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยผู้รับประพฤติเนรคุณตามฟ้องได้หรือไม่ เห็นว่า เหตุที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุที่จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (3) นั้น จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ให้มีความจำเป็นเพราะขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีวิต แล้วผู้ให้ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้รับ และผู้รับอยู่ในฐานะที่จะให้ได้โดยไม่เดือดร้อน แล้วผู้รับปฏิเสธที่จะให้นั้น เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบความข้อนี้ แต่ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์นั้น ไม่ปรากฏเลยว่าโจทก์เคยขอความช่วยเหลือจากจำเลยและจำเลยอยู่ในฐานะที่จะให้ความช่วยเหลือได้โดยไม่เดือดร้อนแล้วจำเลยปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด การที่จำเลยจะขายที่ดินที่โจทก์ยกให้แต่ถูกโจทก์ห้ามปรามจำเลยจึงไปอยู่เสียที่อื่น จนโจทก์ต้องไปอาศัยอยู่กับน้องสาวนั้น จะฟังว่าโจทก์ได้ขอความช่วยเหลือจากจำเลยและจำเลยอยู่ในฐานะที่จะให้ความช่วยเหลือได้โดยไม่เดือดร้อนแล้วจำเลยไม่ช่วยเหลือหาได้ไม่ ส่วนที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การนั้นก็มิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องของโจทก์แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้ประพฤติเนรคุณโจทก์ตามฟ้อง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (3) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

          พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์


 

 

( สมชัย เกษชุมพล - บุญรอด ตันประเสริฐ - สนอง เล่าศรีวรกต )

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น leenont วันที่ตอบ 2009-11-14 11:18:05


ความคิดเห็นที่ 3 (2006469)

"ยกที่ดินให้แล้ว ยังจะเอาคืน เสือกโง่เอง อย่าหวังว่าจะได้สมบัติคืนเลย"

ข้อความที่พูดถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทผู้ให้หรือไม่ หรือทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียงหรือไม่ และถือว่าเป็นเหตุถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณแล้วหรือไม่????


ข้อความดังกล่าวข้างนี้ เป็นเพียงการกล่าวถ้อยคำไม่สุภาพเท่านั้น ไม่ถึงขนาดเป็นการหมิ่นประมาทผู้ให้หรือทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียงแต่อย่างใด ดังนั้นแม้หากจะฟังได้ว่า ผู้รับการให้ กล่าวถ้อยคำตามที่อ้างนั้นจริงก็ไม่เป็นเหตุให้ผู้ให้มีสิทธิเพิกถอนการให้ได้

 


คำพิพากษาที่  576/2550

 

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงพิพาทเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง หากไม่สามารถโอนที่ดินแปลงพิพาทได้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคาที่ดิน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

           จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง

           ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

           โจทก์อุทธรณ์

           ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

           โจทก์ฎีกา

           ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยเสน่หา ต่อมาจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ประพฤติเนรคุณ เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิถอนคืนการให้หรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 บัญญัติว่า "อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุที่ผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น ท่านว่าอาจจะเรียกได้แต่เพียงในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้

           (1) ถ้าผู้รับได้ประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดอาญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา หรือ

           (2) ถ้าผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง หรือ

           (3) ถ้าผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้"

           กรณีตามคำฟ้องโจทก์อ้างเหตุประการแรกว่า จำเลยที่ 1 หมิ่นประมาทโจทก์ด้วยถ้อยคำว่า "โจทก์ยกที่ดินให้แล้ว ยังจะเอาคืน เสือกโง่เอง อย่าหวังว่าจะได้สมบัติคืนเลย" เห็นว่า ข้อความเพียงเท่านี้ เป็นเพียงการกล่าวถ้อยคำไม่สุภาพเท่านั้น ไม่ถึงขนาดเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์หรือทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงแต่อย่างใด ดังนั้นแม้หากจะฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กล่าวถ้อยคำตามคำฟ้องจริงก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเพิกถอนการให้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ได้กล่าวข้อความตามคำฟ้องหรือไม่

           ประการที่สอง โจทก์บรรยายฟ้องความว่า หลังจากโจทก์ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ตัดโค่นไม้ยางพาราเสียและรับเงินราคาค่าไม้ยางทั้งหมดและจงใจทอดทิ้งโจทก์เสีย ไม่ยอมส่งอาหารหรือปัจจัยสี่แก่โจทก์เลย โจทก์พักอาศัยอยู่คนเดียว จำเลยที่ 1 จงใจประพฤติเนรคุณโจทก์ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2542 ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส อาจได้รับอันตรายแก่ชีวิต ทั้งนี้จำเลยที่ 1 สามารถดูแลปรนนิบัติโจทก์ได้ แต่จำเลยที่ 1 ละเลยทอดทิ้งเสียทั้งที่สามารถทำได้ ดังนี้ ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์และการนำสืบของโจทก์ไม่ได้ความว่าโจทก์เคยขอและจำเลยที่ 1 บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์แต่อย่างใด กรณีจึงไม่เข้าเหตุที่โจทก์มีสิทธิถอนคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (3) อีกเช่นกัน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

           พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

 

 

( สมศักดิ์ จันทรา - ชาลี ทัพภวิมล - ชูเกียรติ ตันทวีวงศ์ )

 

ศาลจังหวัดทุ่งสง - นายพายัพ สนองไทย

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 - นายธีระยุทธ ทรัพย์นภาพร

 

ผู้แสดงความคิดเห็น leenont วันที่ตอบ 2009-11-14 11:31:11



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล