เรื่องมีอยู่ว่าคุณยายได้แบ่งที่ดินเป็นที่นา 1 แปลง แบ่งเป็น 3 คน  นาง ก.  นาง ข.  (เป็นลูกสาวยาย) และดิฉันเป็นหลาน (ซึ่งรับแทนแม่ที่ตายไปแล้ว)  โดยที่ดินเป็นชื่อคุณยายเพียงคนเดียว  ตอนแบ่งให้มีคุณตาเป็นพยาน ไม่มีปัญหาอะไร...  ไม่เคยมีการตกลงอะไรกันเกี่ยวกับค่าเช่าที่นา... ดูเหมือนเหตุการณไม่มีไรอะไร.. จนกระทั่งคุณยายเสียชีวิตลง  คุณตาเริ่มมางอแงทวงสิทธิ์การเก็บค่าเช่าที่นา  โดยไม่ได้บอกกับตัวดิฉันเอง  แต่ได้บอกผ่านคนอื่นตลอด ดิฉันไม่เคยได้คุยกะคุณตาเรื่องนี้เลย... มีแต่ฟังคำที่คนอื่นเล่ามา.... 

วันหนึ่งคนที่เช่าที่นาซึ่งเป็นคนเก่าแก่มาถามกับคุณลุงว่า...ต้องจ่ายเงินที่ใคร.... เพราะยายแบ่งที่แล้ว  ลุงบอกว่าก็ให้เจ้าของที่นา  แต่คนเช่าไม่ยอมนำเงินมาให้... ดิฉันจึงทวงถามไปยังลูกชายของ นาง ข. ซึ่งสนิทกัน ว่าให้ผู้เช่านำเงินมาให้ด้วย  เหตุการณ์ทวงถามเรื่อวค่าเช่า... ได้ผ่านลุกชายของนาง ข. ตลอด  ดิฉันไม่ได้มีโอกาสคุยกับผู้เช่าเลย... จนกระทั่ง  ผู้เช่าได้ไปบอกกับคุณลุงว่าจะเอาเงินไปให้คุณตา เพราะคุณตาให้เอาเงินไปให้เค้า  แล้วให้ดิฉันไปเอาเงินที่คุณตาเอง....  คุณลุงจึงต่อสายให้ดิฉันได้คุยกับผู้เช่า  ผู้เช่าอ้างว่าฟังไม่ได้ยินคุยไม่รู้เรื่องแล้วตัดสายโทรศัพท์ทิ้งไป 

ต่อมาคุณตาได้นำเอกสารซึ่งอ้างว่าเป็นสัญญาที่คุณยายทำไว้ก่อนตาย และหลังจากแบ่งที่ดินแล้ว ว่าให้ผู้เช่ามีสิทธิ์ทำนาได้ 4 ปี แล้วคุณตาอ้างสิทธิ์ว่าคุณยายเสียชีวิตคุณตาจึงต้องได้เก็บค่าเช่าที่นา  (เป็นเอกสาร 3 ใบ)  คุณตาตั้งใจจะเก็บเงินเฉพาะของ นาง ก. และดิฉัน แต่ดิฉันเมื่อเห็นเอกสารแล้วก็รุ้สึกว่าไม่ชอบธรรมเนื่องจาก 1. ลายเซ็นคุณยายไม่เหมือนกับลายเซ็นคุณยายในหนังสือที่แบ่งที่ดิน...ดิฉันมีเอกสารอ้างอิง คือต้องปลอมแน่ๆ  2. ถ้าเป็นลายเซ็นคุณยายจิงทำไมมาทำตอนหลังจากที่แบ่งที่ดินให้เรียบร้อยแล้ว

จากนั้นนาง ก. จึงได้ไปคุยกับคุณตาและคุณลุง  โดยโทรกลับมาแจ้งดิฉันว่า  “ตายอมรับแล้วว่าเป็นเอกสารปลอมที่สามี นาง ข. เป็นคนทำขึ้นมา พร้อมกับผู้เช่าซึ่งเสียผลประโยชน์ซึ่งก่อนหน้านี้ดิฉันได้บอกให้ นาง ก. เช่าที่นาเพื่อทำนาแทนผู้เช่าคนนี้ จึงได้ร่วมกันทำเอกสารปลอมขึ้นมา รวมทั้งนาง ข. ได้เซ็นเป็นพยานด้วย” รวมทั้งปลอมลายเซ็นคุณยาย เพื่อเอามาขู่ดิฉัน กับ นาง ก. ให้จ่ายค่าเช่าที่

แล้วเรื่องก็เงียบไปพักนึง...แต่ดิฉันก็ยังคงไม่ได้เงินค่าเช่าจากผู้เช่า

ดิฉันจึงทวงถามไปยังลูกชายนาง ข. อีกครั้ง  เนื่องจากดิฉันได้ปรึกษาพี่คนหนึ่งซึ่งเป็นนักกฎหมายว่า... ต้องเอาเงินมาให้ที่ดิฉัน.. ไม่งั้นก็เหมือนฉ้อโกง  ฝากบอกด้วย ดิฉันก็แจ้งไปกับลุกชาย นาง ข. เพื่อให้เอาข้อความไปบอกผู้เช่า  ต่อมาลูกชายนาง ข. ได้โทรศัพท์มาบอกว่าจะโอนเงินค่าเช่าให้ และให้ดิฉันนำเลขบัญชีมาให้ด้วย   ดิฉันจึงถามว่าอ้าวทำไมถึงยอมให้แล้วล่ะ  ลุกชาย นาง ข. บอกว่า  “ตาบอกว่าดิฉันไม่เคยไปว่าตาเลย  จึงยอมโอนเงินให้”  (ซึ่งก่อนหน้านี้ลูกชาย นาง ข. คงนำเรื่องไปเล่าให้ นาง ข. และคุณตา และผู้เช่าฟัง)

สรุปว่าดิฉันได้เงินและเหมือนว่าจะไม่มีอะไร....  ต่อมาต้นปี 2553 นี้ ได้รับแจ้งจากทางญาติที่อยู่ต่างจังหวัดว่า คุณตาได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันว่าดิฉันได้ไปด่าทอคุณตา และขู่ให้เอาเงินมาจ่ายให้ ในใบบันทึกประจำวันเป็นเท็จทั้งหมด เนื่องจากคุณตาได้ให้ปากคำว่า ได้ตกลงกันก่อนหน้านี้ว่าจะให้ค่าเช่ายายจนกว่ายายจะเสียชีวิตต่อมาคุณยายเสียชีวิตเงินค่าเช่าจึงต้องตกเป็นของคุณตา... แต่ดิฉัน กับ นาง ก. ฉ้อโกง  และคุณตาจะฟ้องเอาที่ดินคืนฐานเนรคุณ  (ทั้งที่ดิฉันได้รับข้อมูลมาว่าที่ให้เงินคืนเพราะดิฉันไม่เคยไปว่าคุณตา... งงมาก) 

ดิฉันได้ปรึกษากับญาติ...เกี่ยวกับเองนี้ว่าทำไมตาถึงได้ทำแบบนั้น... แต่พี่น้องก็แลยบอกว่าให้เฉยๆ ไว้เถอะ... แต่ดิฉันบอกกับญาติว่าก็ที่ตาแจ้งความเป็นเท็จ จะเฉยได้ไง  แต่ก็เห็นว่าท่านอายุเยอะแล้ว  ก็ไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวเรื่องนี้... เรื่องก็เงียบไป...

จนกระทั่งดิฉันกับ นาง ก. ได้รับหมายศาลจากคุณตา ว่าให้แบ่งที่ดืนเพราะดิฉันกับ นาง ข. เนรคุณไปด่าตาว่าจะเอาตาติดคุก  ซึ่งดิฉันไม่เคยพูดคุยกับคุณตาเลยสักครั้ง  มีแต่คุยกับลุกชาย นาง ข. แล้วนำใบแจ้งความมาประกอบสำนวน  ที่สำคัญ มีเพียงดิฉันและนาง ก. ที่ถูกฟ้อง  และนาง ข. เป็นพยาน  แล้วให้ดิฉันกับนาง ข. รวมกันออกเงินค่าทนายค่าดำเนินการทั้งหมด...(อ้าว อยุ่ดีๆ อยากได้ที่ดินของดิฉัน แล้วเอาทนายมาฟ้อง...แล้วดิฉันต้องออกเงินให้ด้วย...มันไม่ยุติธรรม)

ดิฉันจึงอยากมาปรึกษา...ว่ากรณีเช่นนี้ดิฉันต้องทำอย่างไร.....