ReadyPlanet.com


คดีพรากผู้เยาว์หรือไม่..(มีความผิดหรือไม่)


 ผู้ชาย พาผู้หญิงอายุไม่เกิน18 ปี หนีออกจากบ้านมีความผิด..

แต่ ถ้า ผู้หญิงพาผู้หญิงหนี จะมีความผิดหรือไม่..

พอดีนักเรียนที่โรงเรียนถามน่ะค่ะ  ครูตอบเด็กไม่ถูก ขอคำปรึกษาด้วยค่ะ...



ผู้ตั้งกระทู้ สุดารัตน์ :: วันที่ลงประกาศ 2012-08-26 20:39:45


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2302136)

ตามคำถามต้องพิจารณาดังนี้ครับ 

ผู้หญิงอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี จะเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ได้ก็ต้องได้ความว่า ผู้หญิงไม่เต็มใจไปด้วยเท่านั้น แต่หากผู้หญิงเต็มใจไปด้วยไม่มีความผิดครับ แต่กรณีเดียวกันคือ ผู้หญิงเต็มใจไปด้วยก็จริงแต่พาผู้หญิงไปเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจารก็มีความผิดได้ครับ

คำถามต่อมาว่า ผู้หญิงพาผู้หญิงจะมีความผิดแตกต่างกันผู้ชายพาผู้หญิงไปหรือไม่ ตามกฎหมายใช้คำว่า "ผู้ใด" พรากผู้เยาว์... ดังนั้นเจตนารมณ์ของกฎหมายไม่ได้แยกว่าคนที่พรากจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีความผิดเช่นกันครับ

มาตรา 318 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไป ด้วยต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่พันบาท ถึงสองหมื่นบาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น

ถ้าความผิดตาม มาตรานี้ ได้กระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปีและปรับตั้งแต่หกพัน บาท ถึงสามหมื่นบาท


มาตรา 319 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไป เสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และ ปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท

ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายลีนนท์0859604258 วันที่ตอบ 2012-09-19 16:08:29


ความคิดเห็นที่ 2 (2302137)



พรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 18 ปี ผู้เยาว์เต็มใจ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  210/2554

 
          จำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปจาก น. มารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก ซึ่งโจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้อง แต่การพรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด ไม่ว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 318 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 319 วรรคแรก ซึ่งมีโทษเบากว่า มิใช่เรื่องเป็นข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษ ศาลฎีกาลงโทษจำเลยในความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปจากมารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225
 
มาตรา 318 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไป ด้วยต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่พันบาท ถึงสองหมื่นบาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น

ถ้าความผิดตาม มาตรานี้ ได้กระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปีและปรับตั้งแต่หกพัน บาท ถึงสามหมื่นบาท


มาตรา 319 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไป เสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และ ปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท

ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น

________________________________
 
          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318
          จำเลยให้การปฏิเสธ
          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม ลงโทษจำคุก 7 ปี
          จำเลยอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

          โจทก์ฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า นางสาว ช. เป็นบุตรของนาง น. และนาย ท. เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2530 พักอาศัยอยู่กับบิดามารดาที่บ้านเลขที่ 64 หมู่ที่ 2 ตำบลสิงห์ อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี นางสาว ช. และจำเลยรู้จักกันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2546 โดยจำเลยทำงานเป็นลูกจ้างของสหกรณ์การเกษตรบางระจัน เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2547 นางสาว ช. คลอดบุตรชาย คือ เด็กชาย อ. ได้มีการตรวจลายพิมพ์ดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตรปรากฏว่า จำเลยเป็นบิดาของเด็กชาย อ. คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากนาง น. มารดาโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางสาว ช. เบิกความเป็นพยานว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2547 นางสาว ช. ไปเฝ้าบ้านให้นาง ส. ผู้เป็นย่าที่บ้านเลขที่ 81 หมู่ที่ 2 ตำบลสิงห์ อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เนื่องจาก นาง ส. ต้องเดินทางไปธุระที่กรุงเทพมหานคร บ้านของนาง ส. เปิดเป็นร้านขายของอยู่ใกล้กับสหกรณ์การเกษตรบางระจันที่ทำงานของจำเลย ต่อมาเวลาประมาณ 8 นาฬิกา จำเลยไปขอซื้อบุหรี่จากนางสาว ช. แล้วชักชวนออกไปธุระ นางสาว ช. ตกลงไปด้วย จำเลยขับรถกระบะมารับนางสาว ช. ไปที่ห้างสรรพสินค้าไชยแสง ซึ่งอยู่ที่อำเภอเมืองสิงห์บุรีต่อจากนั้นพาไปที่โรงแรมเอกบงกชซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมืองสิงห์บุรีเช่นกันแล้วจำเลยข่มขืนกระทำชำเรานางสาว ช. แล้วจึงพานางสาว ช. ไปส่งที่บ้านของนาง ส. เมื่อเวลา 11 นาฬิกา หลังเกิดเหตุนางสาว ช. ไม่เคยพบจำเลยอีกและมิได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้อื่นฟังจนกระทั่งนาง น. สังเกตเห็นท้องนางสาว ช. โตจึงลูบคลำที่ท้องพบว่ามีเด็กดิ้นในท้อง นางสาว ช. จึงเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นาง น. ฟัง นาง น. เบิกความว่าเมื่อประมาณวันที่ 30 สิงหาคม 2547 พยานสังเกตเห็นนางสาว ช. มีรูปร่างอ้วนขึ้นจึงได้สอบถามและเอามือลูบที่ท้อง รู้สึกว่ามีเด็กดิ้นอยู่ในท้อง นางสาว ช. จึงเล่าให้ฟังว่าท้องกับจำเลยโดยจำเลยพาไปร่วมประเวณีที่โรงแรม เห็นว่า ขณะเกิดเหตุนางสาว ช. มีอายุ 16 ปีเศษ เรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ถือว่ายังอ่อนวัย การที่นางสาว ช. ไปมีเพศสัมพันธ์กับจำเลยเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ไม่สมควรจะเล่าให้ผู้อื่นฟังโดยเฉพาะกับนาง น. และนาง ส. ผู้เป็นย่าซึ่งเป็นผู้ปกครองหากทราบเรื่องแล้วอาจดุ ด่า เฆี่ยนตีนางสาว ช. ได้ เมื่อนาง น. รู้ความจริงว่านางสาว ช. ตั้งครรภ์ นางสาว ช. จึงยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นาง น. ทราบ เชื่อว่าเรื่องที่นางสาว ช. เล่าว่าจำเลยชักชวนและพานางสาว ช. ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าไชยแสงในอำเภอเมืองสิงห์บุรีจนไปมีเพศสัมพันธ์กันที่โรงแรมเอกบงกชในวันเกิดเหตุ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเพราะเป็นระยะเวลากะทันหัน นางสาว ช. ไม่มีโอกาสคิดไตร่ตรองสร้างเรื่องโกหกมารดาแต่ที่นางสาว ช. เบิกความว่า ถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราในโรงแรมเอกบงกชนั้นได้ความจากคำเบิกความของนางสาว ช. ว่า เมื่อจำเลยขับรถออกจากห้างสรรพสินค้าไชยแสงแล้วจำเลยขับรถเข้าไปในโรงแรมม่านรูด จอดรถในช่องจอดหน้าห้องพักของโรงแรมซึ่งเป็นห้องชั้นเดียว เมื่อจำเลยจอดรถเสร็จมีผู้นำผ้าม่านมาปิดที่ท้ายรถ จำเลยบอกให้นางสาว ช. นั่งรออยู่ในรถ ส่วนจำเลยลงจากรถเดินออกไปข้างนอกสักครู่ก็กลับมาและบอกให้นางสาว ช. เข้าไปรอในห้องซึ่งติดอยู่กับที่จอดรถ สักครู่จำเลยก็เดินตามเข้ามาในห้องพร้อมถือขวดเป็ปซี่ 2 ขวด เมื่ออยู่ในห้องจำเลยได้ร่วมประเวณีกับนางสาว ช. โดยนางสาว ช. พยายามขัดขืนแต่สู้แรงจำเลยไม่ไหวนั้น เห็นว่า ขณะที่จำเลยขับรถพานางสาว ช. เข้าไปในโรงแรมเอกบงกชและจอดรถอยู่หน้าห้องพักโดยมีผู้นำผ้าม่านมาปิดที่ท้ายรถ นางสาว ช. โตพอที่จะสังเกตได้แล้วว่าการนำผ้าม่านมาปิดท้ายรถก็เพื่อไม่ให้ผู้อื่นพบเห็นรถจำเลยในโรงแรมดังกล่าวนั้นเป็นการกระทำที่ผิดปกติไปจากการจอดรถทั่วไป นางสาว ช. ย่อมเข้าใจได้แล้วว่าโรงแรมแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ตนสมควรเข้ามา และเมื่อจำเลยกลับมาที่รถบอกให้นางสาว ช. ไปรอในห้องพักหน้าที่จอดรถ นางสาว ช. ก็ยอมเข้าไปแต่โดยดีโดยจำเลยมิได้ใช้กำลังบังคับนางสาว ช. เข้าไปในห้องย่อมเห็นสภาพภายในห้องพักของโรงแรมแล้วว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่ตนจะอยู่รอจำเลยในห้องนั้นตามลำพังหรือไม่ และนางสาว ช. ก็รู้อยู่ว่าจำเลยกำลังจะเข้ามาในห้องพัก เมื่ออยู่กันตามลำพังนางสาว ช. ย่อมคาดหมายได้ว่าจำเลยอาจจะกระทำการอันไม่สมควรทางเพศกับตนได้ นางสาว ช. มิได้ถูกจำเลยควบคุมตัวหรือขู่ว่าจะทำร้ายแต่อย่างไร จึงมีโอกาสที่จะหลบหนีออกจากโรงแรมหรือห้องพักหรือปฏิเสธที่จะเข้าไปรอจำเลยในห้องพักและขอให้จำเลยพากลับไปส่งบ้านได้แต่นางสาว ช. มิได้กระทำการดังกล่าว ที่นางสาว ช. เบิกความถึงพฤติการณ์ที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราว่านางสาว ช. ได้ดิ้นรนขัดขืนแล้วแต่สู้แรงของจำเลยไม่ได้นั้น ได้ความจากคำเบิกความของนางสาว ช. ว่า จำเลยเพียงแต่ใช้มือขวารัดมือทั้งสองข้างของนางสาว ช. ไว้เท่านั้นส่วนมือซ้ายถอดเสื้อผ้าของนาวสาว ช. และถอดกางเกงและกางเกงในของจำเลยออกโดยจำเลยไม่มีอาวุธหรือพูดขู่บังคับ การกระทำเพียงเท่านี้ของจำเลยเชื่อว่านางสาว ช.สามารถดิ้นรนขัดขืนจำเลยได้ พฤติการณ์ที่นางสาว ช. ไปเที่ยวกับจำเลยที่ห้างสรรพสินค้าไชยแสงในเขตอำเภอเมืองสิงห์บุรี ยอมเข้าไปในโรงแรมเอกบงกชกับจำเลยรอจำเลยในรถหน้าห้องพักภายในโรงแรมและเข้าไปรอจำเลยในห้องพักจนมีการร่วมประเวณีกับจำเลยนั้น เป็นไปด้วยความเต็มใจของนางสาว ช. เองทั้งสิ้น เมื่อนางสาว ช. กลับมาถึงบ้านย่อมไม่เล่าเรื่องที่ตนเองไปมีเพศสัมพันธ์กับจำเลยที่โรงแรมเอกบงกชให้นาง น. ฟังทันทีโดยอาจกลัวนาง น. ซึ่งเป็นมารดาโกรธและอาจถูกเฆี่ยนตีได้จนกระทั่งนางสาว ช. ตั้งครรภ์และนาง น. รู้เรื่องการตั้งครรภ์นั้น นางสาว ช. ไม่อาจปกปิดเรื่องที่ตนไปมีเพศสัมพันธ์กับจำเลยได้อีกต่อไปจึงยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างตนเองกับจำเลยให้นาง น. ฟัง ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า วันเกิดเหตุไม่ใช่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2547 นั้นเพราะตามรายงานผลการตรวจชันสูตรระบุวันเกิดเหตุวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2547 เอกสารและคำเบิกความจึงแตกต่างกันในเรื่องวัน เวลากระทำผิดอันเป็นสาระสำคัญนั้น เห็นว่า เอกสารดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2547 ซึ่งเป็นวันที่นาง ส. และนาง น. มาแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยต่อพนักงานสอบสวนและให้ถ้อยคำไว้ ตามบันทึกดังกล่าวระบุวันเกิดเหตุว่าเป็นวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2547 วันที่พนักงานสอบสวนระบุว่าเกิดเหตุเป็นวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2547 จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นการลงวันที่ผิดพลาดของพนักงานสอบสวนเท่านั้น ข้อเท็จจริงยังรับฟังได้ว่าวันเกิดเหตุคือวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2547 ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า ตามบันทึกการเข้าออกของโรมแรมเอกบงกชไม่ปรากฏรายการว่าจำเลยขับรถของจำเลยเข้าโรงแรมดังกล่าว เห็นว่า บันทึกการเข้าออกของลูกค้าโรงแรมเอกบงกชระหว่างวันที่ 4 ถึง 8 กุมภาพันธ์ 2547 นั้นบางรายการก็ไม่ได้จดหมายเลขทะเบียนรถที่เข้ามาใช้บริการจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าบันทึกตามเอกสารหมาย จ.8 บันทึกไว้ถูกต้องพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ส่วนการที่นาง ส. ชี้สถานที่เกิดเหตุเป็นบ้านเลขที่ 64 หมู่ที่ 2 ตำบลสิงห์ อำเภอบางรจัน ซึ่งเป็นบ้านของนาง น. มิใช่บ้านเลขที่ 81 ของนาง ส. นั้น เห็นว่า ข้อหาว่าเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ซึ่งบ้านเลขที่ 64 หมู่ที่ 2 ดังกล่าวเป็นบ้านของนาง น. มารดานางสาว ช. และนางสาว ช. อยู่อาศัยด้วยจึงเป็นสถานที่เกิดเหตุเช่นกัน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2547 เวลาประมาณ 8 นาฬิกา จำเลยชักชวนและพานางสาว ช. ผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าไชยแสงในเขตอำเภอเมืองสิงห์บุรีแล้วพาไปที่โรงแรมเอกบงกช จำเลยกระทำชำเรานางสาว ช. โดยนางสาว ช. ยินยอม แต่นาง น. มารดานางสาว ช. มิได้ยินยอมให้จำเลยพานางสาว ช. ไปเพื่อการอนาจาร จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปจากนาง น. มารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ซึ่งโจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้อง แต่เห็นว่าการพรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดไม่ว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 319 วรรคแรก ซึ่งมีโทษเบากว่า มิใช่เรื่องเป็นข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษ ศาลฎีกาลงโทษจำเลยในความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปจากมารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
          พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี
 
 
( โสพส สุวรรณเนตร์ - ชีพ จุลมนต์ - ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ )
 

ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2012-09-19 16:12:16



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล