ความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน

ทนายความคดีครอบครัว ฟ้องหย่า สินสมรส อำนาจปกครองบุตร ชู้สาว มรดก

ความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน  มีความผิดจำคุก 4 เดือน

หน้าห้องพักของผู้เสียหายมีการกั้นผนังด้วยอิฐบล็อกและมีช่องประตูทางเข้ากั้นไว้เป็นสัดส่วนเป็นพื้นที่ใช้สอยของผู้เสียหายบุคคลอื่นไม่สามารถจะเข้าไปใช้สอยได้ ถือได้ว่าเป็นเคหสถานของผู้เสียหาย  การที่จำเลยกับพวกเข้าไปรุมชกต่อย เตะผู้เสียหายที่บริเวณหน้าห้องพักของผู้เสียหาย ถือว่าเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7088/2550

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 295, 364, 365

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 364, 365 (1) (2) (3), 83 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 ฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 4 เดือน ฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่น 2 กระทง จำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมทุกกระทงจำคุก 1 ปี 8 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83 จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 8 เดือน รวม 2 กระทง จำคุก 16 เดือน จำเลยไม่มีความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 364 และมาตรา 83 ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยกับนายธวัชหรือหนุ่ย น้องจำเลย และนายวาทีหรือเต็ง จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2736/2543 ของศาลชั้นต้น เข้าไปหานางสาวกนกวรรณ โดยรออยู่บริเวณหน้าห้องพักของผู้เสียหายที่ 1 เมื่อนางสาวกนกวรรณออกมาจากห้องน้ำนายธวัชจะเข้าไปลวนลาม แต่ผู้เสียหายที่ 1 ขัดขวาง จำเลยกับพวกจึงร่วมกันทำร้ายร่างกายนายมานพผู้เสียหายที่ 1 และนายดิลก ผู้เสียหายที่ 2 เห็นเหตุการณ์จึงวิ่งเข้ามาห้ามแต่ก็ถูกจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายแก่กาย เหตุเกิดที่บริเวณหน้าห้องพักที่ทางปั้มน้ำมันซัสโก้จัดให้เป็นที่พักของผู้เสียหายที่ 1

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืนหรือไม่ เมื่อพิจารณาแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุประกอบภาพแสดงสถานที่เกิดเหตุแล้ว จะเห็นว่า ที่เกิดเหตุซึ่งบริเวณหน้าห้องพักของผู้เสียหายที่ 1 มีการกั้นผนังด้วยอิฐบล็อกและมีช่องประตูทางเข้ากั้นไว้เป็นสัดส่วน บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ใช้สอยของผู้เสียหายที่ 1 บุคคลอื่นไม่สามารถจะเข้าไปใช้สอยได้ ที่เกิดเหตุถือได้ว่าเป็นเคหสถานของผู้เสียหายที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (4) การที่จำเลยกับพวกเข้าไปรุมชกต่อย เตะผู้เสียหายทั้งสองที่บริเวณหน้าห้องพักของผู้เสียหายที่ 1 ถือว่าเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 364 อีกกระทงหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีความผิดฐานดังกล่าวมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 364 อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุก 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 แล้วเป็นจำคุก 20 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

มาตรา 362 ที่ว่า กระทำการใดๆอันเป็นการรบกวนการครอบครองของเขาโดยปกติสุข หมายถึง การเข้าไปรบกวนสิทธิครอบครอง คือเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อยึดถือและมีเจตนายึดถือเพื่อใช้ประโยชน์แก่ตนเอง โดยอ้างสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นการรบกวนสิทธิของผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ แต่มิใช่การเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยไม่ได้อ้างสิทธิใดๆ แต่กระทำไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร เช่น การเข้าไปทำร้ายบุคคลอื่นหรือเข้าไปลักทรัพย์ในเคหสถานกรณีเช่นนี้ถือเป็นความผิดตามมาตรา 364 มิใช่มาตรา 362

ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 364 ผู้ใดโดยไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไป หรือซ่อนตัวอยู่ใน เคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือสำนักงานในความครอบครอง ของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้น เมื่อผู้มีสิทธิที่จะ ห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 365 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 362 มาตรา 363 หรือ มาตรา 364 ได้กระทำ
(1) โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
(2) โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคน ขึ้นไป หรือ
(3) ในเวลากลางคืน

ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษากฎหมาย   ปรึกษาทนายความ ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ  โทร.   0859604258    สำนักงานพีศิริ ทนายความ

 ความผิดฐานบุกรุกอันเป็นความผิดอาญามีอยู่ 3 ประเภท กล่าวคือ
    1) รบกวนกรรมสิทธิ์หรือการครอบครองของผู้อื่น
    2) ยักย้าย ทำลายเครื่องหมายเขต
    3) เข้าไปอยู่หรือซ่อนตัวอยู่หรือไม่ยอมออก

    ความผิดฐานบุกรุกทุกประเภท ถ้าประกอบด้วยลักษณะฉกรรจ์ต้อง ระวางโทษให้สูงขึ้นไปอีก การบุกรุกเคหสถาน เป็นการกระทำละเมิดต่อการครอบครองเคหสถานของผู้อื่นในทางอาญา ทั้งนี้จะเป็นความผิดตามมาตรา 364 ได้ จะต้องประกอบด้วย
การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 ข้อ ได้แก่
    ข้อที่ 1 เข้าไปหรือซ่อนตัวอยู่ในเคหสถานโดยไม่มีเหตุอันสมควร
    ข้อที่ 2 ไม่ยอมออกไปจากเคหสถาน เมื่อผู้มีสิทธิที่ห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ออก

ด้วยเหตุนี้แม้ตอนเข้าไป ผู้กระทำอาจเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควรไม่ผิดตามการกระทำ ข้อ 1 แต่เมื่อเข้าไปแล้ว ผู้ครอบครองเคหสถานไล่ออก กลับไม่ยอมออกก็เป็นความผิดข้อที่ 2 ได้ ซึ่งศาลฎีกาได้วางแนววินิจฉัยการกระทำของจำเลยฐานบุกรุกตามหลักดังกล่าวเพียงแต่มีข้อที่ต้องพิจารณาว่า--โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีมีดปลายแหลมเป็นอาวุธติดตัว บุกรุกเข้าไปในเคหสถานโดยใช้กำลังประทุษร้าย อาจทำให้เห็นว่าคำบรรยายฟ้องโจทก์กล่าวถึงการกระทำผิดของจำเลยว่า เข้าไปในเคหสถานโดยไม่มีเหตุอันสมควรเท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงในส่วนที่ว่า เมื่อผู้เสียหายไล่ให้จำเลยออกจากบ้านแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะอยู่อีก คล้ายกับโจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้ว กรณีต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่ยอมออกไปจากเคหสถาน เมื่อผู้มีสิทธิที่ห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก น่าจะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลไม่อาจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาลงโทษจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2853/2539. 2941/2540) อย่างไรก็ตาม เมื่อคดีรับฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานบุกรุกเคหสถานและฐานพยายามฆ่าเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ต้องลงโทษฐานพยายามฆ่า ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดอยู่แล้ว ก็ไม่ทำให้ผลคดีตามคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป
  

ผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธิปลูกสร้าง

ปลูกสร้างบ้านโดยทราบอยู่ว่าเป็นที่ดินของผู้อื่นที่เขาอนุญาตให้ปลูกสร้าง ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยได้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโดยสุจริต คำว่า "สุจริต" มีความหมายว่าผู้ปลูกสร้างได้ปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่ดินโดยไม่ทราบว่าที่ดินเป็นของผู้ใดแต่เข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเองและเชื่อว่าตนมีสิทธิปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินนั้นโดยชอบ

บุกรุกเข้าไปในเคหสถานและมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายความผิดสองกรรมต่างกัน
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  7958/2555

   จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ ถือได้ว่าเป็นความผิดสำเร็จไปแล้วกระทงหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 เห็นผู้เสียหายตบหน้าจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 1 จึงใช้โซ่ที่ถือมาตีศีรษะผู้เสียหายไป 1 ครั้ง ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายซึ่งเป็นเจตนาที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ แยกต่างหากจากเจตนาบุกรุกในตอนแรกได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน

สำนักงานทนายความโดย ทนายความ ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ  รับว่าความคดีแพ่ง คดีอาญา คดีผู้บริโภคและคดีอื่นๆ ทุกคดี รับเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย รับเป็นทนายความแก้ต่างต่อสู้คดี ข้อตกลง ตลอดจนข้อสัญญาต่างๆเกี่ยวกับธุรกิจ ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ยื่นคำร้องขอถอดถอนผู้จัดการมรดก ฟ้องเรียกเงินผิดสัญญากู้ยืมเงิน ผิดสัญญาจ้างทำของ  ฟ้องหย่าคดีครอบครัว ฟ้องเรียกบุตรคืน ฟ้องถอนอำนาจปกครองผู้เยาว์ ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู ฟ้องขอแบ่งสินสมรส ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงที่แสดงตนว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคู่สมรส