
| บทวิเคราะห์คดีเช่าซื้อ ผู้ค้ำประกันรับผิดเฉพาะฉบับที่ 2,ค่าฤชาธรรมเนียม (ฎีกา 3487/2568) ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรับผิดของผู้ค้ำประกันภายใต้สัญญาเช่าซื้อซึ่งถูกวินิจฉัยว่า ผู้ค้ำประกัน (จำเลยที่ 2) รับผิดเฉพาะตามสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 2 เท่านั้น ในขณะที่ศาลชั้นต้นกลับพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดจนถึงสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 1 ด้วย ซึ่งเกินกว่าความรับผิดตามที่รับรองไว้ และยังเป็นกรณีที่ผู้บริโภคได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 18 อีกด้วย สรุปข้อเท็จจริง • โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อหมายเลขทะเบียน กม xxxx (นครราชสีมา) คืนในสภาพเรียบร้อยและใช้การได้ดี หากส่งมอบไม่ได้ให้ชดใช้ราคา 288,738 บาท • ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์อีกคัน หมายเลขทะเบียน 1 กอ xxxx (กรุงเทพฯ) คืนหรือชดใช้ราคา 458,160 บาท • หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลย 2 ส่งมอบหรือชดใช้แทน • โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหาย ได้แก่ ค่าขาดประโยชน์ก่อนฟ้อง รถคันแรก 175,000 บาท และเดือนละ 3,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนส่งมอบหรือชดใช้ครบ; รถคันที่สอง 182,000 บาท และเดือนละ 3,500 บาท เช่นเดียวกัน • โจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 1,094,898 บาท (รถคันสอง) และหากจำเลย 1 ไม่ชำระ ให้จำเลย 2 ชำระแทน 631,160 บาท ตามที่โจทก์ร้อง • จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ • ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถทั้งสองคืน หรือชดใช้ตามราคา ได้แก่ รถคันแรก 170,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีตั้งแต่วันมีคำพิพากษา และค่าเสียหาย 125,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนส่งมอบหรือชดใช้ครบ และชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ 2,500 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้อง 5 พ.ย. 2564) จนส่งมอบหรือชดใช้ครบ แต่ไม่เกิน 6 เดือนหลังคำพิพากษา • รถคันที่สองให้ใช้ราคา 260,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งวันมีคำพิพากษา และค่าเสียหาย 135,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีตั้งแต่ฟ้อง และชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ 2,700 บาท นับตั้งวันฟ้องจนส่งมอบหรือชดใช้ครบ แต่ไม่เกิน 6 เดือนหลังคำพิพากษา • หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม ให้จำเลย 2 ส่งมอบรถคันสองคืนหรือใช้ราคาแทน 260,000 บาท และจำเลย 2 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 5,400 บาท • ศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ • จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ • ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภค พิพากษายืน และให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ • จำเลยทั้งสองฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา • ประเด็นที่ศาลฎีกาวินิจฉัย: เพียงว่า คำพิพากษาที่กำหนดให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลย 1 รับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ประเด็นสำคัญที่สุดของ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3487/2568 อยู่ที่การ จำกัดขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันเฉพาะตามสัญญาที่ค้ำไว้เท่านั้น และ การคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 18 ซึ่งศาลฎีกาใช้เป็นหลักสำคัญในการวินิจฉัยคดีนี้ 🧭 มาตรากฎหมายหลักที่ใช้ในคดีนี้ 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 ว่าด้วย “ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกัน” — ผู้ค้ำประกันย่อมรับผิดไม่เกินกว่าที่ลูกหนี้ต้องรับผิด และไม่เกินกว่าที่ตนได้ตกลงค้ำประกันไว้ ➤ เป็นหัวใจของคดีนี้ เพราะศาลฎีกายืนยันว่า ผู้ค้ำประกัน (จำเลยที่ 2) รับผิดเฉพาะสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 2 เท่านั้น ไม่ต้องรับผิดในสัญญาเช่าซื้อฉบับอื่นที่ไม่ได้ค้ำไว้ 2. พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 18 กำหนดสิทธิให้ผู้บริโภค “ได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง” ➤ ศาลฎีกานำมาปรับใช้เพื่อคืนค่าขึ้นศาลให้แก่จำเลยทั้งสอง เนื่องจากเป็นผู้บริโภคตามกฎหมาย 3. หลักทั่วไปของการจำกัดขอบเขตการฎีกา (มาตรา 225 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง) ➤ ศาลฎีกาวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาเท่านั้น คือ “ค่าฤชาธรรมเนียม” 🔑 Keywords สำคัญที่สุดของคดีนี้ (5 ข้อ) พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ 1. “ผู้ค้ำประกันเฉพาะสัญญา” (Specific Guarantee Liability) หมายถึง ผู้ค้ำประกันจะรับผิดเฉพาะในขอบเขตของสัญญาที่ได้ตกลงไว้เท่านั้น ไม่ขยายความรับผิดไปถึงสัญญาอื่น แม้เป็นคู่สัญญาเดียวกันก็ตาม → ในคดีนี้ จำเลยที่ 2 ค้ำเฉพาะสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 2 แต่ศาลชั้นต้นให้ร่วมรับผิดในฉบับที่ 1 ด้วย ซึ่งเกินขอบเขตและศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2. “เกินขอบเขตความรับผิด” ศาลยืนยันว่า การพิพากษาให้ผู้ค้ำประกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมรวมถึงสัญญาที่ไม่ได้ค้ำไว้ เป็นการเกินขอบเขตของสัญญาและผิดหลักกฎหมายแพ่ง มาตรา 686 → เป็นเหตุให้ฎีกาของจำเลยทั้งสอง “ฟังขึ้น” 3. “สิทธิผู้บริโภค” ผู้บริโภคมีสิทธิได้รับความคุ้มครองพิเศษ เช่น การยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 18 → ศาลฎีกาจึงสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลที่จำเลยทั้งสองชำระมาแล้ว 4. “ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ” ประเด็นสำคัญของคดีนี้อยู่ที่การกำหนดให้ผู้ค้ำประกันร่วมชำระค่าฤชาธรรมเนียม ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเกินขอบเขตที่ค้ำประกันไว้ → คำวินิจฉัยนี้สะท้อนแนวทางใหม่ในการจำกัดความรับผิดของผู้ค้ำเฉพาะส่วน 5. “คืนค่าขึ้นศาล” เป็นผลโดยตรงจากการบังคับใช้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 18 → ศาลฎีกามีคำสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จำเลยทั้งสองได้ชำระมาแล้วทั้งหมด เพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคสมบูรณ์ 💡 สรุปสาระสำคัญ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3487/2568 ตอกย้ำหลักสำคัญว่า “ผู้ค้ำประกันรับผิดเท่าที่ตกลงไว้ในสัญญาเท่านั้น และผู้บริโภคมีสิทธิเพื่อได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมตามกฎหมายโดยไม่อาจถูกบังคับเกินขอบเขตได้” คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดของจำเลย 1 เฉพาะตามสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 2 เท่านั้น • การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท หมายถึงให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าธรรมเนียมศาลแทนโจทก์รวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนข้อพิพาทตามสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 1 ด้วย ซึ่งเกินกว่าที่จำเลย 2 ต้องรับผิด ถือเป็นการพิพากษาที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย • อนึ่ง จำเลยทั้งสองเป็นผู้บริโภค ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 18 จึงได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง ดังนั้น ศาลฯ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จำเลยทั้งสองชำระมาทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสอง • ศาลพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลย 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในส่วน ค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีจำเลย 2 นอกจากที่แก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 • ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาที่จำเลยทั้งสองชำระให้คืนตามที่ศาลสั่ง พร้องทั้งค่าขึ้นศาลชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืน ให้เป็นพับ ขยายความประเด็นทางกฎหมาย 1. ความรับผิดของผู้ค้ำประกันเฉพาะสัญญาที่ตกลงไว้ ตามหลักกฎหมายผู้ค้ำประกัน (guarantor) มีข้อจำกัดความรับผิดตามขอบเขตที่ตกลงไว้ในสัญญาค้ำประกัน หากข้อสัญญาระบุว่า “ค้ำประกันเฉพาะสัญญาเช่าซื้อ ฉบับที่ 2” ผู้ค้ำ (จำเลย 2) จะไม่ต้องรับผิดในสัญญาเช่าซื้ออื่น ๆ เช่น ฉบับที่ 1 ซึ่งอยู่ภายนอกขอบเขตสัญญาที่รับรองไว้ ในคดีนี้ ศาลฎีกาตัดสินว่า งานที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในสัญญาเช่าซื้อ ฉบับที่ 1 นั้นเกินขอบเขตความรับผิดที่สัญญากำหนดไว้ จึงถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2. ค่าฤชาธรรมเนียมและผู้บริโภค ภายใต้ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 18 กำหนดให้ผู้บริโภคได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง (ในกรณีที่อยู่ในขอบเขตของผู้บริโภค) ซึ่งในคดีนี้ จำเลยทั้งสองได้รับการรับรองว่าเป็นผู้บริโภค จึงได้รับสิทธิยกเว้นค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การลิดรอนสิทธินี้โดยพิพากษาให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ คือการบังคับให้ผู้บริโภคจ่ายเกินสิทธิที่ได้รับ ตามบทบัญญัติของกฎหมายผู้บริโภค 3. การคืนค่าขึ้นศาล เมื่อศาลวินิจฉัยว่า ผู้บริโภคได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมตามมาตรา 18 ซึ่งได้ถูกชำระไปแล้วโดยผู้บริโภค (จำเลยทั้งสอง) ศาลจึงสั่งให้ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ที่จำเลยทั้งสองชำระมาทั้งหมด ซึ่งเป็นการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคตามกฎหมาย 4. ประเด็นศาลวินิจฉัยเฉพาะ “ค่าฤชาธรรมเนียม” ศาลฎีกาวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวที่จำเป็นให้วิเคราะห์ — คือการกำหนดให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ — โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น ๆ เนื่องจากฝ่ายจำเลยได้อนุญาตให้ฎีกาเพียงประเด็นนี้เท่านั้น IRAC: Issue – Rule – Application – Conclusion Issue (ประเด็นข้อ กฎหมาย) จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันถูกกำหนดให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ทั้งที่รับผิดเพียงตามสัญญาเช่าซื้อ ฉบับที่ 2 เท่านั้น — คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? Rule (บทกฎหมายที่ใช้) • หลักการผู้ค้ำประกัน: ผู้ค้ำประกันรับผิดตามขอบเขตที่ระบุในสัญญาค้ำประกัน • พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 18: ผู้บริโภคได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง Application (การประยุกต์ใช้ในคดี) • จำเลยที่ 2 รับผิดเฉพาะตามสัญญาเช่าซื้อ ฉบับที่ 2 เท่านั้น • ศาลชั้นต้นกลับพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดค่าฤชาธรรมเนียมรวมถึงข้อพิพาทตามสัญญาเช่าซื้อ ฉบับที่ 1 ซึ่งอยู่นอกขอบเขตที่รับ • เพราะจำเลยทั้งสองเป็นผู้บริโภคตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 18 จึงได้รับสิทธิยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง • การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 2 ชำระถือว่าเป็นการเกินขอบเขตและขัดสิทธิผู้บริโภค Conclusion (บทสรุป) ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ฟังขึ้น — คือแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดตามความเป็นจริงเฉพาะในส่วนค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีจำเลย 2 เท่านั้น และคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จำเลยทั้งสองชำระมาแล้วตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 18 — โดยให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่คืนให้เป็นพับ สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดตามขอบเขตที่ตกลงไว้ในสัญญาเท่านั้น หากศาลให้รับผิดเกินกว่านั้นถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย • ผู้บริโภคได้รับคุ้มครองสิทธิในการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมภายใต้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 18 และศาลมีอำนาจให้คืนค่าขึ้นศาลที่จ่ายไปโดยไม่ชอบ • ศาลสามารถแยกพิจารณาเฉพาะประเด็นที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยทุกข้อในคดี หากฝ่ายใดจำกัดขอบเขตการฎีกา • ในการฟ้องคดีผู้บริโภคเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ–ผู้ค้ำประกัน–ค่าธรรมเนียม ศาลและคู่ความต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้บริโภค ใครเป็นผู้ค้ำประกัน และขอบเขตความรับผิดของแต่ละฝ่าย 🟩 ประเด็นคำถามที่ 1 คำถาม: ในกรณีที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 เฉพาะตามสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 2 เท่านั้น แต่ศาลชั้นต้นกลับพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ซึ่งรวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนข้อพิพาทของสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 1 ด้วยนั้น การพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และหลักกฎหมายใดที่ใช้วินิจฉัยประเด็นนี้? คำตอบ: ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ซึ่งครอบคลุมถึงข้อพิพาทตามสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 1 ด้วยนั้น เป็นการวินิจฉัยที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะขัดต่อหลักการว่าด้วย “ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกัน” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ค้ำประกันย่อมรับผิดไม่เกินกว่าที่ลูกหนี้ต้องรับผิด และไม่เกินกว่าที่ตนได้ตกลงค้ำประกันไว้” ในคดีนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า จำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันเฉพาะใน สัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 2 เท่านั้น มิได้ค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 1 แต่อย่างใด ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจที่จะให้จำเลย 2 รับผิดในส่วนของค่าฤชาธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทของสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 1 เพราะเป็นเรื่องที่อยู่นอกขอบเขตของสัญญาค้ำประกัน ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลย 1 รับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีจำเลย 2 เท่านั้น ทั้งนี้เป็นการยืนยันหลักสำคัญของกฎหมายว่า “ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเท่าที่ได้ตกลงไว้ในสัญญาค้ำประกัน ไม่อาจขยายความรับผิดเกินขอบเขตที่ตกลงกันไว้ได้” ซึ่งคำวินิจฉัยนี้สะท้อนถึงการคุ้มครองความเป็นธรรมระหว่างคู่สัญญา และย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการระบุขอบเขตความรับผิดในสัญญาค้ำประกันให้ชัดเจนเพื่อมิให้เกิดการตีความเกินข้อตกลงทางกฎหมาย 🟩 ประเด็นคำถามที่ 2 คำถาม: เมื่อจำเลยทั้งสองในคดีเช่าซื้อเป็นผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 แล้ว ศาลมีอำนาจคืนค่าขึ้นศาลที่จำเลยทั้งสองชำระมาได้หรือไม่ และการคืนค่าขึ้นศาลนี้มีพื้นฐานทางกฎหมายอย่างไร? คำตอบ: ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองเป็น ผู้บริโภค ตามความหมายของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ซึ่งได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 18 บัญญัติว่า “การยื่นคำฟ้อง ตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในคดีผู้บริโภคซึ่งดำเนินการโดยผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภค ให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง...” หลักการตามบทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมโดยไม่ถูกภาระค่าใช้จ่ายในทางศาล ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินคดี ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองชำระค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาไว้ก่อนแล้ว การที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้คืนค่าขึ้นศาลดังกล่าวทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสอง จึงเป็นการกระทำที่ ชอบด้วยกฎหมายและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรา 18 การคืนค่าขึ้นศาลในกรณีนี้ยังเป็นตัวอย่างที่สำคัญของการนำหลัก “ความเป็นธรรมในการดำเนินคดีผู้บริโภค” มาปรับใช้ในทางปฏิบัติ ศาลมิได้เพียงแต่พิจารณาความถูกต้องของคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า “การใช้กฎหมายผู้บริโภคมิได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องสัญญา แต่ขยายมาถึงการยกเว้นและคืนค่าฤชาธรรมเนียม เพื่อปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคในการดำเนินคดีด้วยความเท่าเทียม” ดังนั้น ศาลฎีกาจึงสั่งคืนค่าขึ้นศาลที่จำเลยทั้งสองชำระมาทั้งหมด และให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่คืนให้เป็นพับ ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค อย่างครบถ้วน ✅ สรุปภาพรวมสองประเด็น 1. ข้อเท็จจริงสำคัญ: จำเลยที่ 2 ค้ำประกันเฉพาะสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 2 แต่ศาลชั้นต้นให้รับผิดเกินขอบเขต 2. ข้อกฎหมายสำคัญ: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 18 3. ผลการวินิจฉัย: ศาลฎีกาพิพากษาแก้ – จำกัดความรับผิดของผู้ค้ำเฉพาะในส่วนที่ค้ำไว้ และคืนค่าขึ้นศาลให้ผู้บริโภคทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3487/2568 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 เฉพาะตามสัญญาเช่าชื้อฉบับที่ 2 เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท จึงเป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าธรรมเนียมศาลแทนโจทก์รวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนข้อพิพาทตามสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 1 ด้วย ซึ่งเกินกว่าที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อหมายเลขทะเบียน กม xxxx นครราชสีมา คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยและใช้การได้ดี หากส่งมอบไม่ได้ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 288,738 บาท แก่โจทก์ ให้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อหมายเลขทะเบียน 1 กอ xxxx กรุงเทพมหานคร คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยและใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 458,160 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคันดังกล่าวหรือใช้ราคาแทนให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคันดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยและใช้การได้ดี หากส่งมอบไม่ได้ให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ราคาแทนจำเลยที่ 1 แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ก่อนฟ้องสำหรับรถยนต์ที่เช่าซื้อหมายเลขทะเบียน กม xxxx นครราชสีมา จำนวน 175,000 บาท และค่าขาดประโยชน์อัตราเดือนละ 3,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและใช้การได้ดีหรือชดใช้ราคาแทนแก่โจทก์จนครบ ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ก่อนฟ้องสำหรับรถยนต์ที่เช่าซื้อหมายเลขทะเบียน 1 กอ xxxx กรุงเทพมหานคร จำนวน 182,000 บาท และค่าขาดประโยชน์อัตราเดือนละ 3,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในสภาพเรียบร้อยและใช้การได้ดีหรือชดใช้ราคาแทนแก่โจทก์จนครบ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,094,898 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ สำหรับรถยนต์ที่เช่าซื้อหมายเลขทะเบียน 1 กอ xxxx กรุงเทพมหานคร หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระดอกเบี้ยให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 631,160 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อทั้งสองคันคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน สำหรับรถยนต์หมายเลขทะเบียน กม xxxx นครราชสีมา เป็นเงิน 170,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 125,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ 2,500 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564) จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคันดังกล่าวคืนหรือใช้ราคาแทนจนเสร็จ แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และสำหรับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1 กอ xxxx กรุงเทพมหานคร หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 260,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 135,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ 2,700 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564) จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนจนเสร็จ แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อหมายเลขทะเบียน 1 กอ xxxx กรุงเทพมหานคร คืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 260,000 บาท กับให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 5,400 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยทั้งสองฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ฎีกาเพียงประการเดียวว่า คำพิพากษาที่กำหนดให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 เฉพาะตามสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 2 เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท จึงเป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าธรรมเนียมศาลแทนโจทก์รวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนข้อพิพาทตามสัญญาเช่าซื้อฉบับที่ 1 ด้วย ซึ่งเกินกว่าที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น อนึ่งจำเลยทั้งสองเป็นผู้บริโภคได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง จึงให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จำเลยทั้งสองชำระมาทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 18 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในส่วนค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1) ฎีกาที่ 3965/2564 (ประชุมใหญ่): เช่าซื้อ–ค้ำประกัน–เลิกสัญญา และขอบเขตความรับผิด -คดีนี้เป็นคดีเช่าซื้อรถยนต์ที่ผู้ให้เช่าซื้อฟ้องเรียก “ค่าขาดราคา” และ “ค่าขาดประโยชน์” โดยมี “ผู้ค้ำประกัน” ร่วมเป็นจำเลย ประเด็นสำคัญคือ เมื่อเกิดการผิดนัดและมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันจะเป็นอย่างไร ศาลฎีกา (ประชุมใหญ่) วินิจฉัยให้เห็นหลักการเชื่อมโยงระหว่างผลของการเลิกสัญญาเช่าซื้อ (ต้องคืนสภาพ/คืนทรัพย์/หักกลบราคาขาย) กับความรับผิดของผู้ค้ำประกันว่า ความรับผิดของผู้ค้ำเป็น “อุปกรณ์” และ “จำกัดภายในกรอบที่ค้ำประกันไว้” ไม่อาจขยายเกินข้อตกลงหรือเกินผลแห่งสัญญาหลัก หลังเลิกสัญญา ผู้ให้เช่าซื้อจะเรียกได้เท่าที่เป็นผลแห่งการเลิกสัญญาและตามที่สัญญาหรือกฎหมายเปิดช่องเท่านั้น สาระนี้สอดคล้องกับแนวในฎีกา 3487/2568 ที่ย้ำว่า ถ้าผู้ค้ำค้ำเฉพาะ “สัญญาฉบับที่ 2” ก็รับผิดเฉพาะส่วนพิพาทในฉบับนั้น ไม่ลุกลามไปถึง “ฉบับที่ 1” ซึ่งไม่ได้ค้ำ การอ้างผู้ค้ำให้ร่วมรับภาระเกินขอบเขต จึงเป็นการเกินสัญญาค้ำ—ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และต้องจำกัดความรับผิดให้ตรงกับสัญญาที่ค้ำเท่านั้น (เหมาะทำเชื่อมโยงหัวข้อ “ขอบเขตความรับผิดผู้ค้ำประกันภายหลังเลิกสัญญาเช่าซื้อ” ในบทความหลัก) 2) ฎีกาที่ 1203/2565: ผู้เช่าซื้อคืนรถ–ไม่ต้องรับผิด “ค่าขาดราคา” แบบเหมาจ่าย -ข้อเท็จจริงคือผู้เช่าซื้อคืนรถแก่ผู้ให้เช่าซื้อแล้ว โดยประเด็นคือฝ่ายผู้ให้เช่าซื้อยังจะเรียก “ค่าขาดราคา” ตามข้อสัญญาได้แบบเหมาจ่ายหรือไม่ ศาลฎีกายืนยันหลักว่าหลังเลิกสัญญา คู่สัญญาต้องกลับสู่ฐานะเดิม ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิ “ขายทอดตลาด” แล้วเรียกเฉพาะ “ส่วนขาดราคา” ที่พิสูจน์ได้จริงจากราคาขาย (หักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นตามสมควร) ไม่ใช่กำหนดเป็นก้อนตามข้อสัญญาที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค แนวนี้สัมพันธ์กับ 3487/2568 ตรงที่ศาลกำกับ “ขอบเขตความรับผิด” ให้จำกัดอยู่ในสิ่งที่กฎหมายและสัญญาอนุญาตอย่างเป็นธรรม (โดยเฉพาะเมื่อคู่ความเป็นผู้บริโภค) และไม่ขยายให้จำเลยรับภาระเกินควร นัยเชิงนโยบายคือศาลยึดหลัก “ความเป็นธรรม–พิสูจน์ได้จริง” มากกว่าบทกำหนดโทษในสัญญาที่ลำเอียง ซึ่งช่วยรองรับเหตุผลใน 3487/2568 เรื่องจำกัดภาระของผู้ค้ำให้ตรงกับสัญญาที่ค้ำเพียงฉบับเดียวด้วย (ใช้เชื่อมโยงหัวข้อ “หลังคืนรถเรียกอะไรได้บ้าง”) 3) ฎีกาที่ 4590/2562: เช่าซื้อ–มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคและหลักความเป็นธรรมในสัญญา -คำพิพากษานี้ว่าด้วยสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ภายใต้บริบท “คดีผู้บริโภค” ที่ศาลย้ำว่าต้องพิจารณาเงื่อนไขสัญญาและพฤติการณ์โดยรวมให้เกิด “ความเป็นธรรม” ต่อผู้บริโภค ไม่ใช่ยึดถือเพียงถ้อยคำสัญญาอย่างเคร่งครัด หากข้อสัญญามีลักษณะทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบเกินสมควรหรือขัดต่อเจตนารมณ์กฎหมายผู้บริโภค ศาลสามารถ “จำกัดผลบังคับ” ของเงื่อนไขนั้น แนวคิดนี้สอดคล้องและใช้เทียบได้กับ 3487/2568 ที่ศาลจำกัดภาระผู้ค้ำให้แคบลงตามสัญญาที่ค้ำจริง อีกทั้งยังโยงกับประเด็น “ค่าฤชาธรรมเนียม–การยกเว้นค่าขึ้นศาล” ในคดีผู้บริโภคตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 18 ที่ศาลใช้คุ้มครองจำเลยใน 3487/2568 ด้วย กล่าวคือ เมื่อคดีอยู่ในกรอบผู้บริโภค ศาลจะใช้เกณฑ์ความเป็นธรรมสูงขึ้น และพิจารณาไม่ให้คู่ความฝั่งผู้บริโภคถูกบังคับเกินขอบเขตทั้งในเนื้อหา (ความรับผิด) และ “ต้นทุนการฟ้องคดี” (ค่าขึ้นศาล/ค่าฤชาธรรมเนียม) 4) ฎีกาที่ 5055/2567 (คดีผู้บริโภค): ติดตามรถคืนในขณะสัญญายังไม่เลิก–ขอบเขตสิทธิฝ่ายให้เช่าซื้อ
-กรณีผู้ให้เช่าซื้อติดตามรถคืนในระหว่างที่สัญญายังมีผลอยู่ (ยังไม่เลิกสัญญา) และผู้เช่าซื้อไม่โต้แย้งคัดค้าน ประเด็นคือการติดตามเอาทรัพย์คืนดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายและสัญญาหรือไม่ ผลทางคดีต่อสิทธิเรียกค่าเสียหาย/ค่าขาดประโยชน์เป็นอย่างไร ศาลฎีกาชี้ขอบเขตการใช้สิทธิของผู้ให้เช่าซื้อ ต้องอยู่ภายในกรอบสัญญาและบทกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ใช่ใช้สิทธิเกินเลยหรือกระทบสิทธิของผู้บริโภคโดยไม่มีกฎหมายรองรับ แนวนี้ช่วยประกอบความเข้าใจคดี 3487/2568 ว่า แม้ฝ่ายให้เช่าซื้อหรือโจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องหลายประการ แต่เมื่อจำเลยเป็นผู้บริโภคและมี “ผู้ค้ำ” ที่ค้ำเพียงสัญญาบางฉบับ ศาลจะรักษา “เส้นแบ่ง” ของสิทธิและภาระในแต่ละส่วนอย่างเคร่งครัด ทั้งด้านเนื้อหา (ข้อพิพาทเฉพาะฉบับ) และด้านกระบวน (ยกเว้น/คืนค่าขึ้นศาล) เพื่อไม่ให้เกิดการบังคับเกินข้อตกลง–เกินกฎหมายที่คุ้มครองผู้บริโภค (เชื่อมโยงหัวข้อ “การใช้สิทธิของผู้ให้เช่าซื้อในชั้นปฏิบัติ”) |





.jpg)