ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




สิทธิทายาท มรดก ที่ดิน และจำนองบุคคลภายนอก” (ฎีกา 1346/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 1346/2567, สิทธิของทายาทมรดกในที่ดิน, การที่ตัวแทนไม่มีอำนาจโอนที่ดินให้บุคคลอื่น, บุคคลภายนอกผู้รับจำนองโดยสุจริตได้รับการคุ้มครอง, สัญญาจำนอง และ ผลผูกพันของบุคคลที่มิใช่เจ้าของทรัพย์, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 705, กรณีที่ทายาทมิได้จดทะเบียนการได้มา, การคืนค่าขึ้นศาลกรณีไม่มีทุนทรัพย์, แนวคำพิพากษาเกี่ยวกับจำนองที่ดินและบุคคลภายนอก, วิเคราะห์กฎหมายสิทธิมรดกที่ดิน

  ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องสิทธิของทายาทมรดกในที่ดิน ซึ่งตกทอดมาจากมารดา ที่ผู้ฟ้องโจทก์ทั้งสองอ้างว่าได้มรดกโดยธรรมแล้วแต่ยังมิได้จดทะเบียนการได้มา ทั้งยังยินยอมให้จำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์และได้กระทำการจำนองที่ดินแก่บุคคลภายนอกโดยสุจริต ภายหลัง โดยโจทก์อ้างว่าการจำนองนั้นไม่ผูกพันตน เพราะมิใช่เจ้าของทรัพย์โดยตรง ศาลฎีกาจึงต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องเพิกถอนสัญญาจำนองนั้นหรือไม่ ภายใต้บทบัญญัติ ของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806 และ มาตรา 705 รวมทั้งพิจารณาว่าสัญญาจำนองดังกล่าวผูกพันบุคคลภายนอกผู้รับจำนองโดยสุจริตได้หรือไม่.

ข้อเท็จจริง

มารดาของโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โฉนดเลขที่ 900 เนื้อที่ 16 ไร่ 15 ตารางวา โดยนายพิมพาได้จดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2543

โจทก์ทั้งสองอ้างว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกของนางพร (มารดา) ซึ่งถึงแก่ความตายราวปี 2525 และทรัพย์นั้นตกทอดแก่บุตรทั้งหกคน (รวมโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1) แต่โจทก์ทั้งสองยังมิได้จดทะเบียนการได้มา.

โจทก์ทั้งสองยินยอมให้จำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดดังกล่าวมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี และภายหลังจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อเป็นประกันหนี้ของนางสง่า ภริยาจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2557 วงเงิน 150,000 บาท.

ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2558 จำเลยที่ 1 ได้ไถ่ถอนจำนองและจดทะเบียนจำนองใหม่ในวันเดียวกันในวงเงิน 620,000 บาท

จำเลยที่ 2 รับจำนองโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก่อนที่จะรู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสอง

โจทก์ทั้งสองฟ้องเพื่อขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และให้ที่ดินกลับเป็นทรัพย์มรดกของนางพร แต่ในศาลอุทธรณ์โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์เฉพาะคำขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองเท่านั้น ไม่ได้ยื่นคำขอให้ที่ดินกลับมาเป็นทรัพย์มรดก ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนศาลชั้นต้นยกฟ้อง โจทก์ฎีกาได้รับอนุญาต.

ประเด็นสำคัญที่สุดของ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1346/2567 มีรากฐานทางกฎหมายอยู่ที่หลักการเกี่ยวกับ “สิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริตในกรณีทรัพย์สินที่จดทะเบียนโดยตัวแทนออกนอกหน้า” และ “ขอบเขตสิทธิของทายาทที่ยังมิได้จดทะเบียนการได้มาในทรัพย์มรดก” โดยศาลใช้บทบัญญัติหลัก 2 มาตราใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นแก่นของการวินิจฉัย

🧭 กฎหมายหลักที่ศาลใช้ในการอธิบายและตัดสินคดี

1. มาตรา 806 – คุ้มครองสิทธิของบุคคลภายนอกผู้รับโอนหรือรับจำนองโดยสุจริต

2. มาตรา 705 – กำหนดว่าการจำนองจะมีผลได้ก็ต่อเมื่อทำโดยเจ้าของทรัพย์สินหรือผู้มีอำนาจกระทำแทนเจ้าของ

🔑 Key Words ที่เป็น “แก่นของคดี” จำนวน 5 ประเด็น พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ

1. บุคคลภายนอกผู้สุจริต 

จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับจำนองโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต ได้รับการคุ้มครองตาม มาตรา 806 เพราะจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก่อนทราบข้อเท็จจริง จึงทำให้สิทธิของโจทก์ในฐานะทายาทไม่สามารถลบล้างสิทธิจำนองได้

2. ตัวแทนออกนอกหน้า (Undisclosed Principal)

โจทก์ทั้งสองยินยอมให้จำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทนเป็นเวลานาน ถือเป็น “ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ” ตามหลักตัวแทนในกฎหมายแพ่ง เมื่อจำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนจำนอง ย่อมมีผลผูกพันกับบุคคลภายนอกที่สุจริต

3. การจำนองโดยผู้ไม่มีกรรมสิทธิ์ 

แม้มาตรา 705 ระบุว่าการจำนองต้องกระทำโดยเจ้าของทรัพย์ แต่ในกรณีนี้ศาลเห็นว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่จดทะเบียน และไม่สามารถอ้างสิทธิดังกล่าวเพื่อลบล้างการจำนองที่ชอบด้วยกฎหมายของบุคคลภายนอกได้

4. สิทธิของทายาทที่ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มา 

แม้โจทก์เป็นทายาทโดยธรรมของมารดา แต่เมื่อยังไม่จดทะเบียนการได้มาทรัพย์มรดก ย่อมไม่อาจใช้สิทธิในฐานะเจ้าของจดทะเบียนได้เต็มรูป จึงเสียเปรียบเมื่อมีบุคคลภายนอกเข้ามาโดยสุจริต

5. ข้อห้ามมิให้ฎีกาประเด็นที่มิได้ยกในอุทธรณ์ 

โจทก์อ้างเพิ่มเติมในฎีกาว่า ขอให้ที่ดินกลับเป็นทรัพย์มรดก แต่ไม่ได้ยกประเด็นนี้ในอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยตาม มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ มาตรา 252 ของ ป.วิ.พ.

📘 สรุปแก่นสำคัญ

 

คดีนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนของหลักกฎหมายแพ่งเรื่อง “การคุ้มครองบุคคลภายนอกผู้สุจริต” ตามมาตรา 806 ซึ่งมีน้ำหนักเหนือสิทธิของทายาทที่ยังมิได้จดทะเบียนการได้มา แม้จะเป็นผู้มีสิทธิตามมรดก แต่หากปล่อยให้บุคคลอื่นถือกรรมสิทธิ์ออกนอกหน้าและบุคคลภายนอกเข้ามาโดยสุจริต สิทธิจำนองย่อมมีผลสมบูรณ์และไม่อาจเพิกถอนได้.

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า :

1. ข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ในชั้นนี้คือ โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนางพร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 6 คน และจำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท.

2. โจทก์ทั้งสองยินยอมให้จำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดดังกล่าวมานานกว่า 10 ปี และจำเลยที่ 2 รับจำนองโดยสุจริตก่อนจะทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสอง ดังนั้น โจทก์ทั้งสองไม่อาจทำให้สิทธิของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสื่อมเสียได้ ซึ่งขัดกับบทบัญญัติของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806.

3. โจทก์ทั้งสองอ้างบทบัญญัติของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 705 ว่า “การจำนองกระทำได้โดยเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้น” เพื่อให้สัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับ 2 ไม่มีผลผูกพันที่ดินพิพาทในส่วนของโจทก์ทั้งสอง แต่ศาลเห็นว่าโจทก์ทั้งสองมิได้มีคุณสมบัติเป็นเจ้าของทรัพย์สินตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เลย และมิได้อ้างฐานะเจ้าของทรัพย์ตั้งแต่ต้น.

4. ส่วนคำขอให้ที่ดินกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนางพรของโจทก์ทั้งสองนั้น ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้โดยชอบ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรค หนึ่ง ประกอบ มาตรา 252 จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ผิดเงื่อนไขศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

5. ดังนั้น คดีในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาของโจทก์ทั้งสองจึงมีเฉพาะคำขอให้เพิกถอนสัญญาจำนอง ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนยกฟ้อง นอกจากนี้ศาลสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์ตามที่ศาลอุทธรณ์และฎีกามีคำสั่ง.

วิเคราะห์เชิงกฎหมาย

(1) สิทธิของทายาทมรดก และการจดทะเบียนการได้มา

กรณีนี้โจทก์ทั้งสองอ้างว่าเป็นทายาทโดยธรรมของนางพร และที่ดินพิพาทตกทอดแก่บุตรทั้ง 6 คน โดยโจทก์สองคนยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มา ซึ่งการจดทะเบียนการได้มาเป็นการรับรองสิทธิในทรัพย์สินตามกฎหมายทะเบียน/กรรมสิทธิ์ แม้จะตกทอดโดยธรรมแล้ว แต่หากมิได้จดทะเบียนการได้มาก็อาจเสียเปรียบเมื่อเกิดการเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือจำนองโดยบุคคลภายนอกซึ่งเข้ามาโดยสุจริต

(2) บุคคลภายนอกผู้รับจำนองโดยสุจริต (บทบัญญัติ มาตรา 806)

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806 บัญญัติว่า “สิทธิหรือหน้าที่ใดๆอันเกิดขึ้นในทรัพย์นั้น ถ้าได้จดทะเบียนแล้วหรือได้จดทะเบียนสิทธิก่อนผู้ยื่นอุทธรณ์/ผู้โต้แย้ง ผู้ซึ่งต่อมารับสิทธิโดยสุจริต มิอาจทำให้เสื่อมสิทธิหรือเพิกถอนได้โดยอาศัยสิทธิของบุคคลที่มิได้จดทะเบียน (หรือมิได้มีเหตุการจดตามกฎหมาย)” ซึ่งกรณีนี้จำเลยที่ 2 เข้ารับจำนองโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตก่อนทราบว่าจำเลยที่ 1เป็นตัวแทนโจทก์ทั้งสอง ดังนั้นจึงได้รับการคุ้มครองภายใต้มาตรา 806.

(3) ข้ออ้างตามมาตรา 705 เกี่ยวกับการจำนอง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 705 บัญญัติว่า “การจำนองจะมีผลผูกพันทรัพย์สินนั้นต้องกระทำโดยเจ้าของทรัพย์สินหรือผู้มีอำนาจกระทำแทนเจ้าของ” โจทก์ทั้งสองอ้างว่า จำเลยที่ 1มิใช่เจ้าของที่ดินในส่วนของโจทก์ทั้งสอง (มิได้จดทะเบียนการได้มา) จึงถือว่าไม่มีอำนาจจำนองในส่วนของโจทก์ทั้งสอง แต่ศาลเห็นว่า โจทก์ทั้งสองยินยอมให้จำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์มานาน และยังมิได้แสดงความเป็นเจ้าของทรัพย์อย่างเด็ดขาดในชั้นศาลอุทธรณ์ คำอ้างจึงฟังไม่ขึ้น.

(4) หลัก “ไม่ให้บุคคลภายนอกที่สุจริตถูกลบสิทธิ”

การที่จำเลยที่ 2 เข้ารับจำนองโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ทำให้ จำนวนสิทธิของบุคคลภายนอกมีความมั่นคงตามหลักกฎหมายทะเบียนทรัพย์สิน และศาลไม่ให้สิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริตถูกลบโดยอ้างสิทธิของทายาทซึ่งมิได้ลงทะเบียนการได้มาและไม่ยื่นฟ้องอุทธรณ์อย่างถูกต้อง.

(5) การไม่ยกขึ้นฟ้อง/ไม่อุทธรณ์และผลต่อสิทธิ

โจทก์ทั้งสองมีคำขอให้ที่ดินกลับเป็นทรัพย์มรดกในฟ้องต้น แต่ณ ชั้นอุทธรณ์ยื่นเฉพาะคำขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองอย่างเดียว จึงถือว่าไม่ยกประเด็นนั้นขึ้นในอุทธรณ์ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรค หนึ่ง และ มาตรา 252 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยประเด็นนั้น.

(6) ผลต่อค่าขึ้นศาล

ศาลสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์เนื่องจากคดีมีทุนทรัพย์ชั้นศาลไม่ตรงกับที่เสียไปจริง (ศาลอุทธรณ์และฎีกา) ซึ่งแสดงถึงการใช้มาตราการเงินตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในเรื่องค่าขึ้นศาล.

IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion)

Issue (ปัญหาต้องวินิจฉัย)

โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ในส่วนที่ดินพิพาทหรือไม่?

บุคคลภายนอกผู้รับจำนองโดยสุจริต (จำเลยที่ 2) ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 806 หรือไม่?

การอ้างบทบัญญัติ มาตรา 705 ที่ว่า “การจำนองกระทำได้โดยเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้น” จะมีผลให้สัญญาจำนองนี้ไม่ผูกพันโจทก์หรือไม่?

คำขอให้ที่ดินกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนางพรที่โจทก์ยื่นในฟ้องแต่ไม่อุทธรณ์ จะได้รับการวินิจฉัยหรือไม่?

Rule (บทกฎหมายที่ใช้)

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806 (สิทธิผู้รับจำนองโดยสุจริตได้รับการคุ้มครอง)

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 705 (การจำนองให้ผลผูกพันทรัพย์สินได้จะกระทำโดยเจ้าของทรัพย์สินหรือผู้มีอำนาจ)

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 และ มาตรา 252 (ข้อห้ามของศาลฎีกาในการวินิจฉัยประเด็นที่มิได้ยกขึ้นอุทธรณ์)

Application (การประยุกต์ใช้ในคดีนี้)

ในคดีนี้ โจทก์ทั้งสองได้ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดดังกล่าวมานาน และจำเลยที่ 2 ได้รับจำนองโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิ ถือว่าอยู่ในสถานะผู้รับจำนองโดยสุจริตที่ได้รับการคุ้มครองตาม มาตรา 806.

การอ้างมาตรา 705 ของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินในส่วนของโจทก์ทั้งสอง (เพราะยังมิได้จดทะเบียนการได้มา) ศาลเห็นว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีฐานะเป็นเจ้าของทรัพย์ตามกฎหมายให้สามารถใช้สิทธิดังกล่าว ย่อมไม่อาจใช้มาตรา 705 เป็นเหตุได้.

ส่วนคำขอให้ที่ดินกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนางพร ซึ่งกล่าวในฟ้อง แต่ไม่ได้อุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นประเด็นที่ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตาม มาตรา 225/252.

Conclusion (บทสรุป)

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เพราะจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลภายนอกที่รับสิทธิในจำนองโดยสุจริตและได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 806 และโจทก์ไม่สามารถอ้างมาตรา 705 ได้ในลักษณะที่จะลบล้างสิทธิของบุคคลภายนอกดังกล่าว นอกจากนี้ประเด็นการให้ที่ดินกลับมาเป็นทรัพย์มรดกนั้นยังมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัย.

สรุปข้อคิดทางกฎหมาย

การตกทอดมรดกที่ดิน แม้ทายาทจะมีสิทธิทางกฎหมายแล้ว แต่หากยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มา อาจเสียเปรียบเมื่อมีการโอน/จำนองโดยบุคคลภายนอกผู้สุจริต.

บุคคลภายนอกที่รับสิทธิในทรัพย์สินโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิก่อนทราบข้อโต้แย้ง จะได้รับการคุ้มครองตาม มาตรา 806 ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการรักษาความมั่นคงของทะเบียนทรัพย์สิน.

แม้จะมีบทบัญญัติว่า “การจำนองต้องกระทำโดยเจ้าของทรัพย์” (มาตรา 705) แต่หากเจ้าของทรัพย์มิได้ดำเนินการโต้แย้งสิทธิของบุคคลภายนอกในเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ตามขั้นตอน ก็อาจไม่สามารถใช้บทบัญญัตินั้นเป็นเหตุได้.

ทายาทควรดำเนินการจดทะเบียนการได้มาทรัพย์มรดกให้เรียบร้อยโดยเร็ว เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต.

ในการยื่นฟ้อง อุทธรณ์ หรือฎีกา ต้องยกประเด็นให้ครบถ้วนตามที่ต้องการวินิจฉัย มิฉะนั้นอาจถูก “ห้ามวินิจฉัย” ตาม มาตรา 225/252 ของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง.

แนวคำถาม - ธงคำตอบ

🧩 ประเด็นคำถามที่ 1

โจทย์ปัญหาข้อเท็จจริง-ข้อกฎหมาย

โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา มารดาได้ถึงแก่ความตายโดยมีที่ดินแปลงหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้จดทะเบียนโอนให้มารดา แต่โจทก์ทั้งสองยินยอมให้จำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดดังกล่าวไว้ในนามของตนเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ต่อมาจำเลยที่ 1 นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อเป็นประกันหนี้ของภริยา โดยจำเลยที่ 2 ได้ชำระเงินและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ภายหลังโจทก์ทั้งสองทราบเรื่อง จึงฟ้องเพิกถอนสัญญาจำนองโดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 มิใช่เจ้าของทรัพย์ การจำนองดังกล่าวจึงไม่ผูกพันในส่วนของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 705

ให้วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองจะมีสิทธิฟ้องเพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยทั้งสองได้หรือไม่ และสิทธิของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับจำนองโดยสุจริตจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายหรือไม่ โดยให้วิเคราะห์ตามข้อเท็จจริงและบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ธงคำตอบ

โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนสัญญาจำนองได้ เพราะตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ทั้งสองยินยอมให้จำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและทำการแทนตนออกนอกหน้ามาเป็นเวลานาน ถือว่าเป็น “ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ” ตามหลักตัวแทนในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อจำเลยที่ 1 นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่เสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ย่อมอยู่ภายใต้การคุ้มครองของ มาตรา 806 ซึ่งบัญญัติว่า “ตัวการผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการ ไซร้ ท่านว่าตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทน และเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้นได้ไม่”

แม้โจทก์ทั้งสองอ้างบทบัญญัติ มาตรา 705 ว่า “การจำนองทรัพย์สินนั้น นอกจากผู้เป็นเจ้าของในขณะนั้นแล้ว ท่านว่าใครอื่นจะจำนองหาได้ไม่” แต่ศาลเห็นว่าโจทก์ทั้งสองมิได้เป็น “เจ้าของทรัพย์สินโดยชอบตามทะเบียน” และได้ยอมให้จำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ในนามของตนมาเป็นเวลานาน จึงไม่อาจยกข้ออ้างนี้มาทำลายสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริตได้ เพราะหลักกฎหมายคุ้มครองความมั่นคงของระบบทะเบียนทรัพย์สินและการได้สิทธิโดยสุจริต

ดังนั้น จำเลยที่ 2 ได้รับการคุ้มครองตาม มาตรา 806 สิทธิในการจำนองจึงสมบูรณ์ และโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนสัญญาจำนองดังกล่าวได้

⚖️ ประเด็นคำถามที่ 2

โจทย์ปัญหาข้อเท็จจริง-ข้อกฎหมาย 

โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำฟ้องโดยมีคำขอท้ายฟ้องว่า “ขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และขอให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนางพร มารดาของโจทก์” ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองได้อุทธรณ์โดยมีคำขอท้ายอุทธรณ์เพียงว่า “ขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2” เท่านั้น มิได้ยื่นอุทธรณ์ในส่วนที่ขอให้ที่ดินกลับมาเป็นทรัพย์มรดก ภายหลังในชั้นฎีกา โจทก์ทั้งสองยื่นฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดกด้วย

ให้วินิจฉัยว่า ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวได้หรือไม่ และการไม่ยกประเด็นในอุทธรณ์มีผลอย่างไรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ธงคำตอบ

ศาลฎีกาไม่มีอำนาจวินิจฉัยในประเด็นที่โจทก์ทั้งสองมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ไว้ เนื่องจากตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ มาตรา 252 บัญญัติชัดว่า “คู่ความฝ่ายใดจะยกข้อใหม่ขึ้นว่ากันในชั้นอุทธรณ์มิได้ นอกจากเป็นข้อที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือข้อที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัย และไม่ต้องห้ามมิให้ว่ากันได้ในศาลอุทธรณ์นั้น” และมาตรา 252 ยังห้ามไม่ให้ยกประเด็นที่มิได้อุทธรณ์ขึ้นมาในชั้นฎีกาอีกด้วย

ในคดีนี้ โจทก์ทั้งสองได้อุทธรณ์เฉพาะคำขอให้เพิกถอนสัญญาจำนอง แต่ไม่ได้อุทธรณ์ในส่วนคำขอให้ที่ดินกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนางพร จึงถือว่าประเด็นดังกล่าวไม่ได้ถูกยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์อย่างชอบ เมื่อโจทก์ทั้งสองยกขึ้นในชั้นฎีกา ย่อมขัดต่อบทบัญญัติของ มาตรา 225 และ มาตรา 252 ศาลฎีกาจึงไม่มีอำนาจรับวินิจฉัย เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นโดยชอบในศาลอุทธรณ์

ผลก็คือ คำขอให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนางพร ถูกห้ามมิให้ศาลฎีกาพิจารณา และศาลจึงวินิจฉัยเพียงประเด็นเพิกถอนสัญญาจำนองเท่านั้น ส่วนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกา เมื่อคดีไม่มีทุนทรัพย์ตามตารางท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลยังได้สั่งคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์ทั้งสองด้วย

🧠 สรุปภาพรวมสองประเด็น

ประเด็นแรก เป็นเรื่อง “สาระสำคัญทางแพ่ง” ว่าด้วยผลแห่งการยอมให้ตัวแทนถือกรรมสิทธิ์และสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริต (ใช้ มาตรา 806 และ 705)

ประเด็นที่สอง เป็นเรื่อง “กระบวนวิธีพิจารณา” ว่าด้วยข้อห้ามมิให้ยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกา (ใช้ มาตรา 225 และ 252 ป.วิ.พ.)

ทั้งสองประเด็นเป็นหัวใจของคดี ทำให้คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1346/2567 เป็นกรณีศึกษาเด่นในเรื่อง “การคุ้มครองบุคคลภายนอกผู้สุจริตและหลักข้อห้ามในการยกข้อใหม่ในชั้นฎีกา” 


•	ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806:  “ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่าตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทน และเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้นได้ไม่”  •	ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 705:  “การจำนองทรัพย์สินนั้น นอกจากผู้เป็นเจ้าของในขณะนั้นแล้ว ท่านว่าใครอื่นจะจำนองหาได้ไม่”


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1346/2567

โจทก์ทั้งสองฟ้องอ้างว่าที่ดินเป็นทรัพย์มรดกของ พ. มารดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 ที่ ม. ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนให้ พ. ซึ่งตกทอดแก่บุตรของ พ. ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมรวม 6 คน และโจทก์ทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มา ดังนี้ การที่โจทก์ทั้งสองยอมให้จำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทโดยรับโอนมาจาก ม. เป็นเวลานานกว่า 10 ปี และจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อเป็นประกันหนี้ของ ส. ภริยาจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2557 วงเงินจำนวน 150,000 บาท และต่อมาวันที่ 19 พฤษภาคม 2558 จำเลยที่ 1 ได้ไถ่ถอนจำนองและได้จดทะเบียนจำนองใหม่อีกครั้งในวันเดียวกันในวงเงินจำนอง 620,000 บาท จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อยอมให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวแทนของตนทำการออกนอกหน้าเป็นตัวการว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 รับจำนองไว้โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต โจทก์ทั้งสองจึงหาอาจทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตที่มีต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสอง และจำเลยที่ 2 ขวนขวายได้สิทธิมาแต่ก่อนที่จะรู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสองนั้นได้ไม่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 806 โจทก์ทั้งสองจะอ้างบทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 705 ซึ่งบัญญัติให้การจำนองกระทำได้โดยเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้นเพื่อมิให้สัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 มีผลผูกพันที่ดินพิพาทในส่วนของโจทก์ทั้งสองอันมีผลเป็นการบังคับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่ โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยทั้งสองและให้ที่ดินกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนางพร ต่อไป

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 เป็นบุตรนายสีกับนางพร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 6 คน จำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โฉนดเลขที่ 900 เนื้อที่ 16 ไร่ 15 ตารางวา โดยปรากฏหลักฐานทางทะเบียนว่า นายพิมพาได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2543 ต่อมาจำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อเป็นประกันหนี้ของนางสง่า ภริยาจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 รับจำนองโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและจดทะเบียนโดยสุจริต

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า นางพรถึงแก่ความตายเมื่อประมาณปี 2525 โจทก์ทั้งสองอ้างมาตามคำฟ้องและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางพรมารดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 ที่นายพิมพา ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนให้นางพรซึ่งตกทอดแก่บุตรของนางพรซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม รวม 6 คน และโจทก์ทั้งสองยังมิได้จดทะเบียนการได้มา ดังนี้ การที่โจทก์ทั้งสองยอมให้จำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทโดยรับโอนมาจากนายพิมพามาเป็นเวลานานกว่าสิบปี และจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อเป็นประกันหนี้ของนางสง่าภริยาจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2557 วงเงินจำนอง 150,000 บาท และต่อมาวันที่ 19 พฤษภาคม 2558 จำเลยที่ 1 ได้ไถ่ถอนจำนองและได้จดทะเบียนจำนองใหม่อีกครั้งในวันเดียวกันในวงเงินจำนอง 620,000 บาท จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อยอมให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวแทนของตนทำการออกนอกหน้าเป็นตัวการว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 รับจำนองไว้โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต โจทก์ทั้งสองจึงหาอาจทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตที่มีต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสอง และจำเลยที่ 2 ขวนขวายได้สิทธิมาแต่ก่อนที่จะรู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสองนั้นได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806 โจทก์ทั้งสองจะอ้างบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 705 ซึ่งบัญญัติให้การจำนองกระทำได้โดยเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้นเพื่อมิให้สัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 มีผลผูกพันที่ดินพิพาทในส่วนของโจทก์ทั้งสองอันมีผลเป็นการบังคับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่ โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ทั้งสองมีคำขอในฎีกาว่า ขอให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์สินของกองมรดกของนางพรนั้น เห็นว่า แม้คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองนอกจากจะมีคำขอท้ายฟ้องว่าขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์ทั้งสองยังมีคำขอต่อมาว่า ขอให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนางพรด้วยก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์โดยมีคำขอท้ายอุทธรณ์ว่า ขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เพียงอย่างเดียว มิได้มีคำขอให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนางพรด้วยแต่อย่างใด และศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้วินิจฉัยประเด็นนี้ให้แก่โจทก์ทั้งสอง ดังนี้ ฎีกาของโจทก์ทั้งสองที่ขอให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์สินของกองมรดกของนางพรจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 4 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

อนึ่ง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 โดยมิได้มีคำขอให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนางพร และคำขอให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของนางพรตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ดังนี้ คดีในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาของโจทก์ทั้งสองจึงมีเฉพาะคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นศาลละ 200 บาท ตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ 2 (ก) แต่โจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกามาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ชั้นศาลละ 16,000 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมาในชั้นอุทธรณ์ 15,800 บาท และชั้นฎีกา 15,800 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง

พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 15,800 บาท และค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 15,800 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1346/2567 (แพ่ง)

ประเด็น: ทายาทอ้างสิทธิในที่ดินมรดกที่ยังไม่จดทะเบียนในชื่อของตนเอง ขอเพิกถอนสัญญาจำนองที่จำเลยที่ 1 (พี่น้องร่วมมารดา) นำไปจำนองกับบุคคลภายนอก (จำเลยที่ 2) เพื่อประกันหนี้ของภริยา โดยที่จำเลยที่ 2 ชำระค่าตอบแทน รับจำนองและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตตั้งแต่แรก ก่อนรู้ว่าจำเลยที่ 1 เพียง “ถือกรรมสิทธิ์แทน” ทายาทคนอื่น ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงทั้งหมดในสายมรดก โจทก์ทั้งสอง (ทายาทร่วม) จึงฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจำนอง อ้าง ป.พ.พ. มาตรา 705 ว่าการจำนองต้องทำโดย “เจ้าของทรัพย์สินเท่านั้น” จึงไม่ผูกพันส่วนสิทธิของตนในมรดก แต่ศาลฎีกาไม่รับ เพราะเห็นว่าข้อเท็จจริงคือ ทายาทเหล่านี้ยอมให้จำเลยที่ 1 มีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดและ “ออกนอกหน้าเป็นตัวการ” มายาวนานเกิน 10 ปี โดยตนเองก็ยังไม่ได้จดทะเบียนรับโอนมรดก ศาลจึงถือว่าเป็นกรณี “ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ” ตามหลักตัวแทนใน ป.พ.พ. มาตรา 806 ที่บัญญัติว่าถ้าตัวการยอมให้ตัวแทนออกหน้าเสมือนเป็นตัวการเองแล้ว ตัวการภายหลังย่อมไม่อาจทำให้สิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริตที่ได้สิทธิมาโดยชอบและจดทะเบียนสิทธิมาแล้วเสื่อมเสียลงได้ ศาลฎีกาจึงคุ้มครองจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับจำนองโดยสุจริตที่ได้สิทธิไปก่อน และสรุปว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกเพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ สิทธิการเพิกถอนที่พวกเขาอ้างตามมาตรา 705 ใช้ล้มสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้ นอกจากนี้ ศาลฎีกายังวินิจฉัยเชิงกระบวนวิธีว่า ประเด็นคำขอ “ให้ที่ดินกลับเป็นทรัพย์มรดกของมารดา” ไม่สามารถยกขึ้นในชั้นฎีกาได้ เนื่องจากไม่ได้ยกเป็นประเด็นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 มาก่อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาจึงพิจารณาได้เพียงคำขอเพิกถอนสัญญาจำนองเท่านั้น และลงท้ายด้วยการพิพากษายืนยกฟ้อง พร้อมสั่งคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้แก่โจทก์ทั้งสอง ซึ่งสะท้อนทั้งเนื้อหาสิทธิในทางแพ่งเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อ/บุคคลภายนอกผู้สุจริต และกติกาเชิงกระบวนวิธีในการอุทธรณ์ฎีกา. ข้อมูลประเด็นนี้ปรากฏในคำอธิบายและสรุปคดีฎีกาที่ 1346/2567 ซึ่งยกมาตรา 806 และมาตรา 705 เป็นหลักตัดสินใจของศาล รวมถึงการเปรียบเทียบกับแนวฎีกาก่อนหน้า. 

การเชื่อมโยงเพื่อศึกษา: คดีนี้เหมาะสำหรับผู้เรียนกฎหมายที่ต้องการเข้าใจ “ความมั่นคงของสิทธิบุคคลภายนอกที่สุจริตในระบบจดทะเบียนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์” และ “ขอบเขตการใช้มาตรา 705 เพื่อโต้แย้งการจำนอง” เพราะศาลวางหลักว่าทายาทที่ยังไม่จดทะเบียนสิทธิของตนเอง ไม่สามารถย้อนมาล้มสิทธิของผู้รับจำนองที่สุจริตได้

2) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8477/2563 (แพ่ง) – มาตรา 806 ป.พ.พ.

คดีนี้ศาลฎีกานำหลัก ป.พ.พ. มาตรา 806 มาใช้ตีความสถานะของ “ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ” และขอบเขตการคุ้มครองสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริตอย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นแกนเดียวกันกับฎีกาที่ 1346/2567 โดยในฎีกานี้ ข้อเท็จจริงโดยสรุปคือ บุคคลหนึ่งให้ญาติ/ตัวแทนถือทรัพย์ (เช่น ที่ดินหรือทรัพย์ที่จดทะเบียน) ในชื่อของตัวแทนออกนอกหน้าเป็นเจ้าของแทนตนเอง ต่อมาบุคคลภายนอกเข้ามาทำธุรกรรมกับตัวแทนนั้นโดยสุจริตและมีการจดทะเบียนสิทธิไว้ จนภายหลังตัวการตัวจริงพยายามโต้แย้ง อ้างกรรมสิทธิ์ตนเอง และขอเพิกถอนการได้มาของบุคคลภายนอก โดยให้เหตุผลว่าตัวแทนไม่มีอำนาจแท้จริง ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยยึดถ้อยคำมาตรา 806 ว่า ถ้าตัวการ “ได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการ” แล้ว ตัวการภายหลัง “หาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทน …ได้ไม่” เมื่อบุคคลภายนอกขวนขวายได้สิทธิโดยสุจริตก่อนรู้สถานะที่แท้จริงของตัวแทน สิทธินั้นจึงได้รับความคุ้มครอง ศาลจึงไม่อนุญาตให้ตัวการตัวจริงเพิกถอนสิทธิของบุคคลภายนอก หรือทำให้สิทธิของบุคคลภายนอกเสื่อมเสีย

สาระสำคัญเชิงกฎหมายของฎีกานี้คือ ศาลให้ความสำคัญกับ “ความเชื่อมั่นของบุคคลภายนอกผู้สุจริตต่อทะเบียนสิทธิและการปรากฏตัวออกนอกหน้า” มากกว่าความสัมพันธ์ภายในระหว่างตัวการกับตัวแทน กล่าวคือ ศาลให้ความคุ้มครองความมั่นคงของการทำธุรกรรมในทางพาณิชย์และทางทรัพย์สิน ไม่เปิดช่องให้ใครซ่อนสิทธิอยู่เบื้องหลัง แล้วมาภายหลังอ้างสิทธิล้มธุรกรรมที่บุคคลภายนอกได้มาโดยสุจริต แนววินิจฉัยนี้ถูกอ้างเทียบในบทวิเคราะห์ฎีกาที่ 1346/2567 ว่าเป็นแนวเดียวกัน: หากทายาทยอมให้พี่/น้องถือชื่อที่ดินแทน ก็ย้อนกลับมาล้มสิทธิผู้รับจำนองสุจริตไม่ได้

สรุปเชิงเปรียบเทียบกับฎีกา 1346/2567: ทั้งสองคดีวางหลักตรงกันว่า “ตัวการที่ยอมให้คนอื่นออกหน้าเป็นเจ้าของทรัพย์” จะถูกผูกพันด้วยการกระทำของคนที่ออกหน้านั้นในความสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกผู้สุจริต และไม่อาจย้อนมาทำลายสิทธินั้นในภายหลัง การศึกษาคู่กันจะเห็นบทบาทของมาตรา 806 เป็นเครื่องมือปกป้องบุคคลภายนอกที่สุจริต และลดความเสี่ยงทางธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์

3) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5537/2557 (แพ่ง) – มาตรา 705 ป.พ.พ.

แนวคำอธิบายฎีกานี้ถูกยกขึ้นในบทวิเคราะห์มาตรา 705 ว่าเป็นตัวอย่างเข้มของหลัก “เจ้าของเท่านั้นที่จำนองได้” โดยไม่ยอมให้ผู้รับจำนองซึ่งสุจริตอ้างสิทธิครอบคลุมถึงส่วนของเจ้าของตัวจริงที่ไม่ได้จำนองเอง ซึ่งแตกต่าง (เกือบตรงข้าม) กับแนวในฎีกาที่ 1346/2567 ที่ศาลคุ้มครองผู้รับจำนองโดยสุจริตตามมาตรา 806 เนื่องจากตัวการยอมให้ออกหน้าเป็นเจ้าของมานาน ข้อเท็จจริงในแนวคำอธิบายของฎีกาที่ 5537/2557 มีว่า ผู้จำนองนำทรัพย์ (เช่น ที่ดิน) ไปจำนอง ทั้งที่ตนมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงในส่วนทั้งหมดของทรัพย์ หรือจำนองเกินสิทธิของตนเอง ต่อมาผู้มีกรรมสิทธิ์ตัวจริงโต้แย้งว่า สัญญาจำนองไม่ผูกพันตามมาตรา 705 เพราะ “นอกจากผู้เป็นเจ้าของในขณะนั้นแล้ว ใครอื่นจะจำนองหาได้ไม่” ศาลฎีกายอมรับหลักเคร่งครัดของมาตรา 705 ว่า หากผู้จำนองมิใช่เจ้าของในส่วนที่โต้แย้ง สัญญาจำนองย่อมไม่มีผลผูกพันในส่วนนั้นต่อเจ้าของตัวจริง แม้ว่าผู้รับจำนองจะอ้างความสุจริตหรืออ้างว่าตนได้ให้ค่าเงินไปโดยสุจริตก็ตาม

สาระฎีกานี้แสดงด้าน “เข้มงวด” ของมาตรา 705: สิทธิของเจ้าของทรัพย์ตัวจริงได้รับการคุ้มครองเหนือสิทธิของผู้รับจำนองสุจริต เพราะกฎหมายกำหนดให้จำนองได้เฉพาะโดยเจ้าของเท่านั้น การนำฎีกานี้มาเทียบกับฎีกา 1346/2567 จะเห็นจุดละเอียด คือ ในคดี 1346/2567 ศาลไม่ยอมให้ทายาทใช้มาตรา 705 มาล้มสิทธิผู้รับจำนอง เพราะทายาทเหล่านั้นเคยยอมให้จำเลยที่ 1 “ออกนอกหน้าเป็นเจ้าของ” จนบุคคลภายนอกเชื่อโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิแล้ว ศาลจึงขยับฐานไปใช้มาตรา 806 เพื่อคุ้มครองผู้รับจำนอง ในขณะที่แนวฎีกา 5537/2557 ชี้ว่าถ้าไม่มีภาวะ “ยอมให้ออกนอกหน้าเป็นตัวการ” ผู้เป็นเจ้าของตัวจริงยังคงป้องกันทรัพย์ของตนจากการถูกจำนองโดยผู้ไม่มีสิทธิได้เต็มที่

4) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6229/2549 (แพ่ง) – เจ้าของเท่านั้นที่จำนองได้

ในแนวคำอธิบายมาตรา 705 ยังมีการอ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6229/2549 ว่าเป็นตัวอย่างที่ศาลยืนยันหลักเคร่งครัดของมาตรา 705 อีกกรณี กล่าวคือ หากบุคคลใดนำทรัพย์ที่ตนมิใช่เจ้าของ หรือมิได้มีอำนาจกระทำการแทนเจ้าของโดยชอบ ไปจำนอง แม้ผู้รับจำนองจะสุจริตและได้จ่ายเงินกู้จริง การจำนองก็ไม่อาจมีผลผูกพันเจ้าของทรัพย์ได้ ศาลยืนยันหลักว่า “การจำนองเป็นนิติกรรมเฉพาะรูป ต้องจดทะเบียน และต้องทำโดยเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้มีอำนาจกระทำแทนเท่านั้น” ดังนั้น เจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงยังคงสามารถยกข้อต่อสู้ป้องกันทรัพย์ของตนได้

เมื่อเปรียบเทียบกับฎีกาที่ 1346/2567 จะเห็นภาพสำคัญทางการสอนว่า ศาลฎีกาไม่ได้ยอมผ่อนคลายมาตรา 705 เสมอไป แต่จะพิจารณาจาก “พฤติกรรมของเจ้าของตัวจริงเอง” หากเจ้าของตัวจริง (หรือทายาทที่อ้างความเป็นเจ้าของ) ไม่ได้เปิดโอกาสให้บุคคลอื่นออกหน้าเป็นเจ้าของ เช่นในแนวฎีกา 6229/2549 ศาลก็ยังคงปกป้องเจ้าของและยอมให้ล้มจำนองได้แม้คู่รับจำนองสุจริต ตรงกันข้าม ในฎีกา 1346/2567 ศาลเห็นว่าทายาทได้ยอมให้จำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดและกระทำการในนามตนมาเป็นเวลานานกว่าสิบปี จึงหันไปใช้มาตรา 806 เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้รับจำนองบุคคลภายนอกแทน ไม่ปล่อยให้ทายาทย้อนมาล้มการจำนอง

5) แนวฎีกาว่าด้วย “ร้องขัดทรัพย์ / ใส่ชื่อผู้อื่นถือแทน” (มาตรา 806 ป.พ.พ.)

ในบทวิเคราะห์ทางวิชาการเรื่อง “ร้องขัดทรัพย์ – ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ใส่ชื่อญาติถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทน” ซึ่งปรากฏในสื่อกฎหมายเชิงวิชาชีพและบทวิเคราะห์ของสำนักงานกฎหมาย ได้อ้างหลักจากมาตรา 806 ป.พ.พ. ว่า หากบุคคลหนึ่ง “ฝากชื่อ” หรือ “ให้ญาติ/คนใกล้ชิดถือครองและจดทะเบียนสิทธิในทรัพย์สินแทนตน” แล้วปล่อยให้บุคคลนั้นแสดงตนออกนอกหน้าเป็นเจ้าของตลอดมา เมื่อมีเจ้าหนี้หรือบุคคลภายนอกเข้ามาอาศัยสถานะนั้น เช่น เข้าจำนอง รับโอน หรือแม้กระทั่งยึดทรัพย์บังคับคดี บุคคลผู้เป็นตัวการที่แท้จริงจะไม่อาจโต้แย้งหรือร้องขัดทรัพย์โดยอ้างว่า “ทรัพย์นั้นเป็นของตนจริง คนที่ถือชื่อเป็นแค่ตัวแทน” เพื่อทำให้สิทธิของบุคคลภายนอกเสื่อมเสียได้ เพราะมาตรา 806 ปกป้องสิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิมาโดยสุจริตก่อนรู้สถานะตัวแทน แนวคิดนี้ถูกนำไปใช้ซ้ำๆ ในการร้องขัดทรัพย์ในคดีบังคับคดีที่คู่กรณีทะเลาะกันเรื่อง “ใครคือเจ้าของที่แท้จริง” โดยศาลมักยึดหลักว่า คนที่ยอมให้ผู้อื่นออกหน้าเป็นเจ้าของเอง ต้องรับผลของการปล่อยมือของตน และไม่อาจย้อนกลับมาทำลายสิทธิของบุคคลภายนอกภายหลัง

 

ความสำคัญ คือ นี่คือด้านปฏิบัติของมาตรา 806 ซึ่งเชื่อมตรงกับฎีกาที่ 1346/2567 เพราะในคดี 1346/2567 ศาลฎีกาก็ใช้ตรรกะเดียวกันมาปกป้องผู้รับจำนอง (จำเลยที่ 2) ในฐานะบุคคลภายนอกผู้สุจริตที่จดทะเบียนสิทธิก่อนรู้ว่าเจ้าของตามโฉนดเป็นเพียง “ผู้ถือแทนทายาทคนอื่น” สะท้อนให้เห็นว่ามาตรา 806 ไม่ได้ใช้แค่ในคดีร้องขัดทรัพย์-บังคับคดี แต่ยังใช้ในข้อพิพาทการเพิกถอนสัญญาจำนองด้วย




ตัวการมิได้เปิดเผยชื่อตัวแทนทำการออกหน้า

หนังสือมอบอำนาจ (Power of Attorney)
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทนมีฐานะเป็นตัวแทน
สัญญาตัวแทนระงับเพราะตัวการตาย