
| คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2566 ถอนคืนการให้ คำพูดระหว่างไกล่เกลี่ยนำมาเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการถอนคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) และประเด็นสำคัญว่าถ้อยคำของจำเลยที่กล่าวระหว่างการไกล่เกลี่ยคดีอื่น สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้หรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่าถ้อยคำดังกล่าวไม่เป็นความลับตามข้อกำหนดการไกล่เกลี่ยและสามารถนำมาใช้ได้ แต่ไม่ถือเป็นการหมิ่นประมาทร้ายแรง จึงไม่เป็นเหตุให้เพิกถอนการให้
ข้อเท็จจริงของคดี •โจทก์เป็นบิดาของจำเลย และเคยจดทะเบียนสมรสกับมารดาของจำเลย (นางกาญจนา) •ระหว่างสมรส นางกาญจนาซื้อที่ดินและปลูกสร้างบ้านในชื่อของตน ต่อมาได้ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 94229 พร้อมบ้านให้จำเลยโดยเสน่หา •หลังจากนางกาญจนาถึงแก่ความตาย บุตรคนอื่น (นางสาวสุวิมล) ฟ้องจำเลยขับไล่เนื่องจากสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำที่ดินของตน •ระหว่างการไกล่เกลี่ยคดีดังกล่าว จำเลยกล่าวถ้อยคำต่อหน้าผู้ประนีประนอมว่า โจทก์ “ไม่เคยช่วยทำมาหากิน เอาแต่เที่ยวกลางคืน ใช้เงินที่แม่หา” •โจทก์เห็นว่าคำพูดนี้เป็นการประพฤติเนรคุณ จึงฟ้องขอถอนคืนการให้ที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2)
คำวินิจฉัยของศาล •ประเด็นการใช้คำพูดระหว่างไกล่เกลี่ยเป็นพยานหลักฐาน ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้อยคำที่คู่ความแลกเปลี่ยนกันในระหว่างไกล่เกลี่ยซึ่งเกี่ยวข้องกับการหาทางยุติข้อพิพาท ไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงในภายหลังเพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการไกล่เกลี่ย อย่างไรก็ตาม คำพูดของจำเลยในกรณีนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นพิพาทในคดีขับไล่ แต่เป็นการวิพากษ์โจทก์โดยตรง จึงไม่นับเป็น “ความลับ” ตามข้อกำหนดการไกล่เกลี่ย และสามารถนำมาเป็นพยานหลักฐานได้ภายใต้ ป.วิ.พ. มาตรา 85 •ประเด็นการหมิ่นประมาทและการประพฤติเนรคุณ ศาลเห็นว่าถ้อยคำดังกล่าวแม้จะไม่สุภาพ แต่เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นจากประสบการณ์ส่วนตัว ไม่มีเจตนาทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงในสังคมอย่างร้ายแรง จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทร้ายแรงและไม่เป็นเหตุให้ถอนคืนการให้ตาม มาตรา 531 (2) ผลคำพิพากษา: ยืนตามศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องโจทก์
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1.หลักการใช้ข้อมูลจากการไกล่เกลี่ย oข้อกำหนดประธานศาลฎีกาว่าด้วยการไกล่เกลี่ย พ.ศ. 2554 วางหลักให้ข้อมูลที่เปิดเผยเพื่อการระงับข้อพิพาทถือเป็นความลับ เว้นแต่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ย oในคดีนี้ ศาลวินิจฉัยว่าคำพูดของจำเลยไม่เกี่ยวกับเนื้อหาพิพาทในคดีขับไล่ จึงนำมาใช้อ้างในคดีอื่นได้ 2.การถอนคืนการให้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) oผู้ให้สามารถเรียกคืนได้หากผู้รับประพฤติเนรคุณอย่างร้ายแรง oศาลตีความ “เนรคุณอย่างร้ายแรง” ต้องมีพฤติการณ์กระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ให้ในระดับสูง oคำพูดในคดีนี้ไม่ถึงขั้นดังกล่าว 3.นัยยะต่อการปฏิบัติ oคู่ความสามารถใช้ถ้อยคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทจากการไกล่เกลี่ยเป็นพยานในคดีอื่นได้ oแต่ต้องระวังการตีความว่าเป็น “เนรคุณ” เพราะศาลต้องพิจารณาจากเจตนาและความร้ายแรงของการกระทำ
IRAC Analysis Issue: •คำพูดของจำเลยระหว่างการไกล่เกลี่ยคดีอื่น สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีถอนคืนการให้ได้หรือไม่ •ถ้อยคำดังกล่าวเข้าข่ายการประพฤติเนรคุณตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) หรือไม่ Rule: •ป.วิ.พ. มาตรา 85: ศาลอาจรับฟังพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย •ข้อกำหนดประธานศาลฎีกาว่าด้วยการไกล่เกลี่ย พ.ศ. 2554: ข้อเท็จจริงที่เปิดเผยในกระบวนการไกล่เกลี่ยต้องถือเป็นความลับ เว้นแต่ไม่เกี่ยวกับข้อพิพาท •ป.พ.พ. มาตรา 531 (2): ผู้ให้มีสิทธิเรียกคืนการให้ได้หากผู้รับประพฤติเนรคุณอย่างร้ายแรง Application: •คำพูดของจำเลยไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทในคดีขับไล่ และเป็นการกล่าวถึงโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จึงไม่เป็น “ความลับ” ตามข้อกำหนดไกล่เกลี่ย และนำมาใช้เป็นพยานได้ •แม้คำพูดดังกล่าวไม่สุภาพ แต่เป็นเพียงความเห็น ไม่มีเจตนาทำลายชื่อเสียงในวงกว้าง และไม่ร้ายแรงพอจะเป็นเหตุถอนคืนการให้ Conclusion: •สามารถใช้คำพูดดังกล่าวเป็นพยานในคดีนี้ได้ •ไม่เข้าข่ายการประพฤติเนรคุณ จึงไม่เป็นเหตุถอนคืนการให้
ข้อคิดทางกฎหมาย •การใช้ข้อมูลจากการไกล่เกลี่ยต้องพิจารณาว่าเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทหรือไม่ •การถอนคืนการให้ต้องพิสูจน์พฤติการณ์ “เนรคุณ” ที่ร้ายแรงจริง •ถ้อยคำที่ไม่สุภาพอาจไม่เพียงพอเป็นเหตุถอนคืนการให้ หากไม่มีผลกระทบต่อชื่อเสียงในระดับสูง
สรุปภาษาอังกฤษ (Short English Summary) The Supreme Court Decision No. 43/2566 concerns the revocation of a gift under Section 531(2) of the Civil and Commercial Code and the admissibility of statements made during mediation in another case. The Court ruled that the defendant’s remarks about the plaintiff during mediation were not confidential under mediation rules and could be used as evidence. However, the statements did not amount to serious ingratitude or defamation, so the gift could not be revoked. The judgment upheld the lower court’s decision to dismiss the plaintiff’s claim.
สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้คำพูดของจำเลยต่อโจทก์ระหว่างไกล่เกลี่ยคดีอื่นในศาลชั้นต้น (“พ่อไม่ได้ทำอะไรเลย เอาแต่เที่ยวกลางคืน ใช้เงินที่แม่หา พ่อเป็นแค่คนขับรถ”) จะสามารถนำมาใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ เนื่องจากไม่เกี่ยวกับประเด็นพิพาทในคดีนั้น จึงไม่ถือเป็นความลับตามข้อกำหนดไกล่เกลี่ย และอยู่ภายใต้ ป.วิ.พ. มาตรา 85 แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาและพฤติการณ์แล้ว เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นที่ไม่สุภาพ ไม่มีเจตนาทำลายชื่อเสียงอย่างร้ายแรง จึงไม่ถือเป็นการประพฤติเนรคุณตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) ศาลพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2566 ถ้อยคำที่จำเลยด่าว่าโจทก์ขณะที่มีข้อโต้เถียงกันในระหว่างการไกล่เกลี่ยคดีอื่นอันมิใช่ข้อเท็จจริงที่คู่ความคดีดังกล่าวนำมาเป็นข้อพิจารณาในคดีนั้น โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่เข้าร่วมการไกล่เกลี่ยของผู้ประนีประนอมในศาลชั้นต้นคดีดังกล่าวจึงนำถ้อยคำที่จำเลยแถลงระหว่างการไกล่เกลี่ยนั้นมาอ้างอิงหรือนำสืบเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ต่อศาลในคดีนี้ได้ ไม่ถือว่าเป็นความลับอันต้องห้ามตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการไกล่เกลี่ย พ.ศ. 2554 ข้อเท็จจริงดังกล่าวนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ภายใต้บังคับตาม ป.วิ.พ. มาตรา 85
โจทก์ฟ้องขอให้ถอนการให้ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 94229 และสิ่งปลูกสร้างบ้านพักอาศัยเลขที่ 402 ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวครึ่งหนึ่งคืนโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์จดทะเบียนสมรสกับนางกาญจนา มีบุตร 4 คน รวมนางสาวสุวิมล และจำเลย ระหว่างสมรสนางกาญจนาซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 94229 94230 และ 102570 โดยระบุชื่อนางกาญจนาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว และนางกาญจนายื่นคำขออนุญาตสร้างบ้านพักอาศัยเลขที่ 56/413 ต่อมาเปลี่ยนเป็นเลขที่ 402 ในที่ดินโฉนดเลขที่ 94229 และ 102570 วันที่ 22 เมษายน 2542 นางกาญจนายกที่ดินโฉนดเลขที่ 94230 ให้แก่นางสาวสุวิมล วันที่ 9 มิถุนายน 2560 นางกาญจนายกที่ดินโฉนดเลขที่ 94229 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยโดยเสน่หาตามหนังสือสัญญาให้ และวันที่ 8 มีนาคม 2561 นางกาญจนายกที่ดินโฉนดเลขที่ 102570 ให้แก่นางสาวสุวิมล นางกาญจนาถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 วันที่ 2 กรกฎาคม 2562 นางสาวสุวิมลเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในส่วนที่ปลูกสร้างรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของนางสาวสุวิมลทั้งสองแปลงดังกล่าวตามสำเนาคำฟ้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1376/2562 ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าวในวันที่ 9 ตุลาคม 2562 และวันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 ผู้ประนีประนอมไกล่เกลี่ยโดยมีโจทก์ จำเลย นางสาวสุวิมล และทนายความของทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมในการไกล่เกลี่ย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ถ้อยคำของจำเลยที่แถลงในระหว่างการไกล่เกลี่ยคดีอื่นในศาลชั้นต้น มีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ผู้ให้อย่างร้ายแรงหรือไม่ และโจทก์จะอ้างอิงถ้อยคำดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ในคดีนี้ว่า จำเลยประพฤติเนรคุณเป็นเหตุให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) ได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความจะนำมาพิจารณาในชั้นพิจารณาของศาลได้หรือไม่นั้น ย่อมขึ้นกับสภาพของข้อเท็จจริงแต่ละราย หากข้อเท็จจริงใดเป็นเรื่องที่คู่ความประสงค์จะให้เป็นข้อพิจารณาโดยแท้ในชั้นไกล่เกลี่ยซึ่งเป็นกระบวนการที่อาศัยความจริงใจของคู่กรณีที่แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจที่จะหาทางระงับข้อพิพาทด้วยการตกลงกัน ข้อมูลบางอย่างอาจเป็นคุณเป็นโทษต่อเจ้าของข้อมูล ข้อมูลเช่นนี้ก็ไม่อาจนำมาใช้อ้างอิงในภายหลังได้ มิฉะนั้นจะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของคู่กรณีต่อระบบการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทที่ต่อไปคู่กรณีอาจไม่เปิดเผยข้อมูลแก่กันเพื่อหาทางระงับคดี แต่ถ้อยคำที่จำเลยด่าว่าโจทก์ในขณะที่มีข้อโต้เถียงกันในระหว่างการไกล่เกลี่ยคดีฟ้องขับไล่คดีอื่นว่า "ทรัพย์สินทั้งหมดแม่เป็นคนหามาคนเดียว พ่อไม่ได้ทำอะไรเลย เอาแต่เที่ยวกลางคืนใช้เงินที่แม่หาไปวัน ๆ พ่อเป็นแค่คนขับรถเท่านั้น ไม่เคยช่วยทำมาหากิน" หาใช่ข้อเท็จจริงที่คู่ความในคดีดังกล่าว คือ นางสุวิมลและจำเลยนำมาเป็นข้อพิจารณาว่าจำเลยต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนางสุวิมลหรือไม่ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่เข้าร่วมในการไกล่เกลี่ยของผู้ประนีประนอมในศาลชั้นต้นคดีดังกล่าวจึงนำถ้อยคำที่จำเลยแถลงในระหว่างการไกล่เกลี่ยมาอ้างอิงหรือนำสืบเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ต่อศาลในคดีนี้ได้ ไม่ถือว่าเป็นความลับอันต้องห้ามตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการไกล่เกลี่ย พ.ศ. 2554 ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 85 อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาลักษณะของคำกล่าวของจำเลยประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดี ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงการแสดงความเห็นจากประสบการณ์ของจำเลยโดยไม่มีสัมมาคารวะและไม่เคารพยำเกรงโจทก์ผู้เป็นบิดา หาใช่เจตนาทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงไม่ จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์อันจะเป็นเหตุให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|




