ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 778 เม็ด จำคุก 25 ปี article

ทนายความโทร0859604258

ภาพจากซ้ายไปขวา ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ, ทนายความภคพล มหิทธาอภิญญา, ทนายความเอกชัย อาชาโชติธรรม, ทนายความอภิวัฒน์ สุวรรณ

 -ปรึกษากฎหมาย ทนายความ (นายเอกชัย อาชาโชติธรรม) 083 137 8440

ยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 778 เม็ด

 จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 778 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 21.50 กรัม ไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกคนละ 25 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263/2551

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 778 เม็ด น้ำหนัก 69.50 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 21.50 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83 ริบของกลางทั้งหมด

จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลย (ที่ถูก จำเลยทั้งสอง) มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2) (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคสาม (2)), 66 วรรคสาม (ที่ถูก ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ด้วย) ให้จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตและปรับคนละ 1,000,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกคนละ 25 ปี และปรับคนละ 500,000 บาท ริบของกลาง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

 จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ซึ่งอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด เป็นไปในทำนองให้การปฏิเสธ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ และเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จึงไม่รับวินิจฉัยนั้น ไม่ชอบเพราะจำเลยที่ 2 เคยให้การไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ตามคำให้การฉบับลงวันที่ 7 มกราคม 2548 ความว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ตั้งใจที่จะกระทำความผิด และไม่ทราบมาก่อนว่าเพื่อนของจำเลยที่ 2 มีพฤติกรรมจำหน่ายยาเสพติด เมื่อจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ก็ได้นำข้อเท็จจริงในคดีมาอธิบายโดยละเอียดนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 778 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 21.50 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา 66 วรรคสาม ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท หรือประหารชีวิต จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบประกอบคำให้การรับสารภาพ เมื่อพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำความผิดตามฟ้อง และศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดตามฟ้องจริง จึงจะลงโทษได้ เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบและพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้อง และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ทำนองว่า ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 2 หนักไป ขอให้ลงโทษสถานเบา โดยอ้างว่าข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิดตามฟ้อง เท่ากับอ้างว่าโจทก์สืบไม่สมฟ้อง จึงมิใช่เป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 หรือเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งจะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงชอบที่จะต้องวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังขึ้น และเมื่อจำเลยที่ 2 ฎีกาปัญหาดังกล่าวมาแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ตามฎีกาของจำเลยที่ 2 โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาใหม่ เห็นว่า แม้ตามคำให้การจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 7 มกราคม 2548 จะมีข้อความตามที่จำเลยที่ 2 อ้าง แต่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้สอบคำให้การจำเลยที่ 2 ดังกล่าว และต่อมาวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 จำเลยที่ 2 แต่งตั้งทนายความสู้คดี โดยในวันเดียวกันทนายจำเลยที่ 2 เรียงและพิมพ์คำให้การจำเลยที่ 2 ใหม่ มีข้อความว่า จำเลยที่ 2 ทราบคำฟ้องของโจทก์แล้ว ขอให้การรับสารภาพตามฟ้องจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อไว้ด้วย ศาลชั้นต้นสอบคำให้การดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 2 ยืนยันตามคำให้การนี้ ดังนี้ จำเลยที่ 2 จะนำคำให้การฉบับแรกมาอ้างเพื่อให้ศาลฟังว่า จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์จำหน่ายยาเสพติดให้โทษหาได้ไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ทางนำสืบของโจทก์ซึ่งมีดาบตำรวจสายชล ศรีแจ้ง เบิกความนั้นได้ความเพียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจมอบหมายให้สายลับโทรศัพท์ไปล่อซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลยที่ 1 ส่วนที่อ้างว่าสายลับติดต่อส่งเมทแอมเฟตามีนกับจำเลยที่ 2 ทางโทรศัพท์ของจำเลยที่ 2 เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ บันทึกการจับกุมตามเอกสารหมาย จ.1 ยังปรากฏว่าสายลับได้โทรศัพท์ที่หมายเลข 01-1773002 ติดต่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีน 200 เม็ด ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับสาย ได้ตอบตกลงจะนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งให้ นอกจากนี้รถยนต์ของกลางก็เป็นของจำเลยที่ 1 ระหว่างจับกุมได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ ส่วนจำเลยที่ 2 นั่งด้านซ้ายตอนหน้าของรถยนต์ โดยในมือซ้ายของจำเลยที่ 2 กำวัตถุพันด้วยเทปกาวสีน้ำตาล ซึ่งมองดูด้วยตาเปล่าย่อมไม่ทราบว่าเป็นห่ออะไร ประกอบกับลิ้นชักภายในรถพบเมทแอมเฟตามีนอีก 3 ห่อ พันด้วยเทปกาวสีน้ำตาลเช่นกัน และตามบัญชีของกลางเอกสารหมาย จ.2 มีเพียงโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องเดียวที่เป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เท่านั้น ไม่พบทรัพย์สินอื่นภายในตัวจำเลยที่ 2 ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดครั้งนี้นั้น เห็นว่า ในวันเวลาใกล้ชิดกับเวลานัดหมายส่งเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 2 นั่งรถมากับจำเลยที่ 1 โดยในมือซ้ายกำห่อซึ่งบรรจุเมทแอมเฟตามีน ส่วนมือขวายังคงถือโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ ซึ่งขณะเข้าจับกุมจำเลยทั้งสองได้นั้นใกล้เคียงกับเวลาที่ดาบตำรวจสายชล พยานโจทก์เห็นรถของจำเลยที่ 1 ขับผ่านไป โดยดาบตำรวจสายชลเบิกความยืนยันว่าระหว่างนั้นจำเลยที่ 2 ได้โทรศัพท์เข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของสายลับ และเมื่อตามไปถึงจุดนัดหมาย พยานกับพวกแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและแกะดูวัตถุที่จำเลยที่ 2 กำไว้ ปรากฏว่าภายในเป็นถุงบรรจุเมทแอมเฟตามีน จำนวน 192 เม็ด กับพบห่อเมทแอมเฟตามีนอีก 3 ห่อ ซึ่งพันด้วยเทปกาวสีน้ำตาลอยู่ที่ลิ้นชักด้านหน้าของรถจำเลยที่ 1 สอบถามจำเลยทั้งสองยอมรับว่าจะนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งให้ลูกค้าที่สั่งซื้อ 1 ถุง ในราคา 23,000 บาท ตรงตามที่สายลับโทรศัพท์ติดต่อขอซื้อ ชั้นจับกุมแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสองว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามี) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.1/1 โดยขณะดาบตำรวจสายชลเบิกความนั้นจำเลยทั้งสองมีทนายความซึ่งอาจซักค้านพยานโจทก์ดังกล่าวได้ โดยดาบตำรวจสายชลเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า ครั้งแรกสายลับโทรศัพท์ติดต่อกับจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นเวลา 23 นาฬิกาเศษ จำเลยที่ 2 โทรศัพท์ติดต่อกับสายลับ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ถามค้านไว้แสดงว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับว่าที่ดาบตำรวจสายชลเบิกความนั้นเป็นความจริงทั้งหมด และการที่จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมทันที ก็มีเหตุน่าเชื่อว่าเป็นเพราะจำเลยที่ 2 ถูกจับโดยกะทันหันพร้อมห่อซึ่งภายในมีเมทแอมเฟตามีนถึง 192 เม็ด จึงยังไม่มีโอกาสได้ไตร่ตรองหาข้อแก้ตัวได้ทันในขณะนั้น หากจำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าวัตถุที่กำไว้ในมือซ้ายเป็นเมทแอมเฟตามีน และไม่มีส่วนร่วมในการจะนำเมทแอมเฟตามีนไปจำหน่ายให้ แก่สายลับตามที่นัดหมายให้มาพบในที่เกิดเหตุ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยที่ 2 จะต้องให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ชั้นสอบสอบ และชั้นพิจารณาของศาล ซึ่งเมื่อพิจารณาตามบันทึกการจับกุมและคำให้การของจำเลยที่ 2 ในสำนวนแล้วมีข้อความสอดคล้องกับที่พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยทั้งสองเบิกความ ส่วนที่โจทก์ไม่มีสายลับมาเบิกความนั้นก็ไม่เป็นพิรุธแต่อย่างใด เพราะจำเลยที่ 2 ยอมรับแล้วว่าการถูกจับครั้งนี้เกิดเพราะเจ้าพนักงานตำรวจให้สายลับมาล่อ ซื้อเมทแอมเฟตามีนจริง ดังนี้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 จึงมีน้ำหนักฟังได้เป็นที่พอใจโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดตามฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาต่อมาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะคำฟ้องไม่ปรากฏว่าได้บรรยายถึงสายลับที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ไปถึง จำเลยเพื่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนไว้จึงไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 158 (5) นั้นเป็นฎีกาปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ก็ยกขึ้นฎีกาได้และเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 778 เม็ด น้ำหนัก 69.50 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 21.50 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลบางทราย อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี จึงเป็นคำฟ้องที่ได้บรรยายข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่าง ๆ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ซึ่งเพียงพอทำให้จำเลยที่ 2 เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนสายลับจะเป็นใคร เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์อาจนำสืบในชั้นพิจารณาได้ หาเคลือบคลุมดังจำเลยที่ 2 ฎีกาไม่ ทั้งมิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง”

       พิพากษายืน




คดียาเสพติดให้โทษ

คำว่า จำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย | ผิดกรรมเดียว
รับฝากยาบ้า 4.013 เม็ด ถูกจำคุก 22 ปี
ริบทรัพย์สินเกี่ยวกับยาเสพติด
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ เมทแอมเฟตามีน 75 เม็ด
ครอบครองยาบ้า 584 เม็ด รับสารภาพจำคุก 25 ปี
ยาเสพติดให้โทษ 600 เม็ด จำคุก 20 ปี
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษ 750 เม็ด โทษ 20 ปี
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 1,200 เม็ด จำคุก 18 ปี
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 2,374 เม็ด
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) 3,017 เม็ด
เมทแอมเฟตามีน 5,290 เม็ด จำคุก 20 ปี
ยาเสพติดให้โทษ ยาบ้า 12,000 เม็ด จำคุก 33 ปี 9 เดือน
ให้บัญชีธนาคารคนอื่นใช้โอนเงินค่ายาเสพติดโทษเท่ากันกับตัวการ
ขอลดโทษคดียาเสพติดตามมาตรา 100/2
การกำหนดโทษใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง
พยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยยกประโยชน์ แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
ยาบ้า 279 เม็ด โทษจำคุก 7 ปี ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย
ข้อมูลเป็นประโยชน์ตามมาตรา 100/2
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาบ้า 27 เม็ด
การสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ยาเสพติดให้โทษ ยาบ้า เมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ นำเข้า 22 เม็ด
นำยาเสพติดเข้าในราชอาณาจักรโทษประหาร
การยื่นฎีกาเกี่ยวกับคดียาเสพติด
ผู้ใหญ่บ้านถูกจับยาบ้ามีโทษจำคุก 3 เท่า
ธนบัตรที่นำไปล่อซื้อยาเสพติดไม่ใช่สาระสำคัญถึงกับมีข้อสงสัยยกฟ้อง