จำนองครอบไปถึงทรัพย์หมดทุกส่วน -ปรึกษากฎหมาย นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (1) @leenont (2) @peesirilaw (3) 0859604258 เพิ่มด้วยหมายเลขโทรศัพท์ -Line Official Account : เพิ่มเพื่อน QR CODE
ข้อ 5 โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2530 นางโกสุมกู้ยืมเงินไปจาก โจทก์จำนวน 1,500,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี มีกำหนดชำระคืนภายใน 5 ปี โดยจำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญาค้ำประกัน โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และในวันเดียวกัน จำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินแปลงหนึ่ง เนื้อที่ 2 ไร่ เป็นประกันหนี้ของ นางโกสุมดังกล่าวด้วย ต่อมาวันที่ 14 สิงหาคม 2536 นางโกสุมถึงแก่ความตาย นายโกศลทายาทของ นางโกสุมค้างชำระหนี้เรื่องมาจนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลา 9 ปีเศษแล้ว โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ และภายหลังจำนองแล้ว จำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินจำนองเนื้อที่ 1 ไร่ ด้วยการครอบครองปรปักษ์ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียน โจทก์จึงได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันและบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 2 และที่ 3 แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ร่วมกันและแทนกันชำระหนี้ 1,500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้ยึดที่ดินจำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์จนครบถ้วน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ฟ้องเรียกให้ทายาทของนายโกสุมชำระหนี้ภายใน 1 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่ใช่ผู้จำนอง และจำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินจำนอง 1 ไร่แล้ว แม้ยังไม่ได้จดทะเบียนก็ตาม จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ธงคำตอบ กรณีที่จำเลยที่ 1 นางโกสุมถึงแก่ความตายตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2536 โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องต่อกองมรดกของ นางโกสุมภายใน 1 ปี นับแต่ทราบว่านางโกสุมถึงแก่ความตาย สิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้เงินของนางโกสุมจึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของ นางโกสุม จำเลยที่ 1 ย่อมยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นอ้างได้ ตามมาตรา 694 จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ( คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5996/2544 ) แต่จำเลยที่ 2 ไม่อาจยกข้อต่อสู้นั้นขึ้นอ้างได้ เพราะการจำนองไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ผู้จำนองกระทำเช่นนั้นได้จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในหนี้ต้นเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามสัญญาจำนอง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก คดีฟ้องเรียกตามข้อกำหนดพินัยกรรม มิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่เมื่อผู้รับพินัยกรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงสิทธิซึ่งตนมีอยู่ตามพินัยกรรม ภายใต้บังคับแห่ง มาตรา 193/27 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าสิทธิเรียก ร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกมีกำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี มิให้เจ้าหนี้ นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ถึงอย่างไรก็ดี สิทธิเรียกร้องตามที่ว่ามาในวรรคก่อน ๆ นั้น มิให้ฟ้อง ร้องเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย มาตรา 193/27 ผู้รับจำนองผู้รับจำนำ ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงหรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง จำนำหรือที่ได้ยึดถือไว้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตามแต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้ มาตรา 694 นอกจากข้อต่อสู้ซึ่งผู้ค้ำประกันมีต่อเจ้าหนี้นั้น ท่านว่าผู้ค้ำประกันยังอาจยกข้อต่อสู้ทั้งหลาย ซึ่งลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ได้ด้วย มาตรา 717 แม้ว่าทรัพย์สินซึ่งจำนองจะแบ่งออกเป็นหลายส่วนก็ตาม ท่านว่าจำนองก็ยังคงครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นหมดทุกส่วนด้วยกันอยู่นั่นเอง ถึงกระนั้นก็ดี ถ้าผู้รับจำนองยินยอมด้วย ท่านว่าจะโอนทรัพย์สินส่วนหนึ่งส่วนใดไปปลอดจากจำนองก็ให้ทำได้แต่ความยินยอมดั่งว่านี้หากมิได้จดทะเบียน ท่านว่าจะยกเอาขึ้นเป็นข้อต่อสู้แก่บุคคลภายนอกหาได้ไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5996/2544 ธนาคารโจทก์ สาขาบางขุนเทียน มีหนังสือลงวันที่ 3 ตุลาคม2538 ถึงธนาคารโจทก์ สาขาพัทลุง โดยมีข้อความระบุว่าจำเลยที่ 1ถึงแก่ความตายแล้วและขอให้ธนาคารโจทก์สาขาพัทลุง ช่วยคัดสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 1 เพื่อที่จะดำเนินคดีแก่ทายาทต่อไป ดังนี้ แสดงว่าธนาคารโจทก์ สาขาบางขุนเทียน ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายแล้วกรณีจึงถือได้ว่าอย่างช้าในวันที่ 3 ตุลาคม 2538 โจทก์รู้ถึงความตายของจำเลยที่ 1 แล้วเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองวันที่ 11 ธันวาคม 2540 สิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อกองมรดกของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ย่อมยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงยุติธรรมขอใช้บริการสินเชื่อและทำสัญญากู้กรุงไทยธนวัฎกับโจทก์ สาขาบางขุนเทียน เพื่อเบิกเงินเกินบัญชีออมทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งทำไว้กับโจทก์เป็นเงิน 63,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน กำหนดชำระหนี้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมากระทรวงยุติธรรมไม่โอนเงินเดือนและผลประโยชน์ของจำเลยที่ 1เข้าบัญชีออมทรัพย์ตามข้อตกลงเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์เพียงวันที่ 3ธันวาคม 2534 จำเลยที่ 1 มียอดหนี้ค้างชำระเป็นเงิน 40,769.79 บาท และจำเลยที่ 1 ไม่นำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้ต่อไปอีกขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 85,102.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี ของต้นเงิน 40,769.79 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายก่อนฟ้องคดี ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 10มกราคม 2535 ทายาทของจำเลยที่ 1 จัดการมรดกไปแล้ว จำเลยที่ 2ได้แจ้งให้โจทก์ทราบการตายของจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ไม่ฟ้องกองมรดกการที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้เสร็จภายใน 1 ปี และกระทรวงยุติธรรมไม่โอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 ถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโจทก์ทราบการตายของจำเลยที่ 1 แล้ว ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี ฟ้องโจทก์ในหนี้ประธานขาดอายุความ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน40,769.79 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยที่ 1เปิดบัญชีออมทรัพย์ไว้กับโจทก์สาขาบางขุนเทียนเพื่อให้กระทรวงยุติธรรมที่จำเลยที่ 1 รับราชการอยู่ในสังกัดโอนเงินเดือนเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2532 จำเลยที่ 1 ขอใช้บริการสินเชื่อกรุงไทยธนวัฎและทำสัญญากู้กรุงไทยธนวัฎไว้กับโจทก์สาขาบางขุนเทียนเพื่อเบิกเงินเกินบัญชีจากบัญชีออมทรัพย์เป็นเงิน 63,000 บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี เพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันกรุงไทยธนวัฎไว้กับโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหลังจากนั้นกระทรวงยุติธรรมได้โอนเงินเดือนและผลประโยชน์พึงได้ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเข้าบัญชีออมทรัพย์ดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้เบิกถอนเงินจากบัญชีด้วยตนเองและใช้บัตรกรุงไทย เอ.ที.เอ็ม. ถอนเงินจากเครื่องอัตโนมัติ ต่อมากระทรวงยุติธรรมไม่มีการโอนเงินเดือนหรือเงินผลประโยชน์อื่นใดเข้าบัญชีออมทรัพย์ของจำเลยที่ 1 วันที่ 3 ธันวาคม 2534 จำเลยที่ 1มียอดค้างชำระโจทก์เป็นต้นเงิน 40,769.79 บาท ในวันที่ 10 มกราคม 2535จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่าเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม2540 ทนายโจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นพร้อมกับแนบสำเนาเอกสารท้ายคำแถลงซึ่งเป็นหนังสือของธนาคารโจทก์ สาขาบางขุนเทียนที่จำเลยที่ 1 เปิดบัญชีไว้ มีไปถึงธนาคารโจทก์ สาขาพัทลุง ลงวันที่ 3ตุลาคม 2538 โดยมีข้อความระบุไว้ใจความว่า โจทก์ได้อนุมัติให้ธนาคารโจทก์ สาขาบางขุนเทียน ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และธนาคารโจทก์ สาขาบางขุนเทียน ได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินการแล้ว แต่จากการสืบทราบของทนายความปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้ถึงแก่ความตายแล้วจึงขอให้ธนาคารโจทก์สาขาพัทลุง ช่วยคัดสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 1 เพื่อที่จะดำเนินคดีแก่ทายาทของจำเลยที่ 1 ต่อไป จากข้อความในหนังสือดังกล่าวแสดงว่า ธนาคารโจทก์สาขาบางขุนเทียนซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของโจทก์ทราบว่า จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายแล้วจึงให้ธนาคารโจทก์ สาขาพัทลุงตรวจสอบหาทายาทของจำเลยที่ 1จากทะเบียนบ้านจึงถือได้ว่าอย่างช้าในวันที่ 3 ตุลาคม 2538 โจทก์รู้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย ที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทราบการตายของจำเลยที่ 1 ในขณะยื่นฟ้องนั้นเป็นการวินิจฉัยผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนผิดต่อกฎหมายศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238, 243(3) ประกอบมาตรา 247 เป็นว่าโจทก์รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของจำเลยที่ 1เจ้ามรดกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2538 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองวันที่ 11 ธันวาคม2540 จึงเป็นกรณีที่โจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องต่อกองมรดกของจำเลยที่ 1นับแต่ทราบว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายภายในอายุความ 1 ปี สิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อกองมรดกของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม ฉะนั้นที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ย่อมยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 694 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น" พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ภายใต้บังคับ มาตรา 243 (3) ในคดีที่อุทธรณ์ได้แต่ เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายนั้น การวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาล อุทธรณ์จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยาน หลักฐานในสำนวน -มาตรา 243 ให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจดั่งต่อไปนี้ด้วยคือ ในคดีทั้งปวงที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งใหม่ตาม มาตรานี้ คู่ความชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่เช่นว่านี้ ไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตามบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้ มาตรา 247 ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งในชั้นอุทธรณ์แล้วนั้น ให้ยื่นฎีกาได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์นั้น และภายใต้บังคับบทบัญญัติสี่มาตราต่อไปนี้กับกฎหมายอื่นว่าด้วยการฎีกา ให้นำบทบัญญัติในลักษณะ 1 ว่าด้วยอุทธรณ์มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2507 จำเลยที่ 1,2 จำนองที่ดินแปลงหนึ่งแก่โจทก์ เมื่อจำนองแล้ว จำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงนั้นไปด้วยการครอบครองปรปักษ์ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียน ดังนี้โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองที่ดินแปลงนั้นได้ แม้ส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงนั้นตกเป็นของจำเลยที่ 3 แล้วและจำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ก็ตาม ทั้งนี้เพราะสิทธิจำนองเป็นสิทธิครอบเหนือทรัพย์ทั้งหมด เมื่อจำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนจะยกขึ้นต่อสู้ผู้รับจำนองซึ่งได้สิทธิโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตไม่ได้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับนายทองห่อสามีจำเลยที่ 2 จำนองที่ดินไว้กับโจทก์เป็นเงิน 21,500 บาท นายทองห่อตาย จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับมรดก จำเลยที่ 3 ได้ฟ้องจำเลยที่ 1, 2 ขอให้แบ่งแยกและลงชื่อจำเลยที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนในที่แปลงนี้ศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว ให้แบ่งแยกและลงชื่อจำเลยที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดในหนี้จำนองด้วย โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามไถ่ถอนจำนองก็ไม่ไถ่ถอน จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสามไถ่ถอนจำนอง หากไม่ไถ่ถอนก็ขอให้ยึดทรัพย์จำนองมาขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ จำเลยที่ 1, 2 ให้การรับว่า จำนองจริง แต่ไม่มีเงินจะไถ่ถอนขอโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เหลือใช้แทน จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1, 2 จำนองจริง แต่เมื่อจำนองโจทก์ก็รู้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของโดยการครอบครองมาก่อนแล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิด จำเลยยังไม่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนด จำเลยจึงไม่ใช่คู่สัญญา และจำเลยได้ที่ดินโดยผลของกฎหมายและตามคำพิพากษาของศาล มิใช่โอนโดยนิติกรรม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องที่ดินมีกว่า 100 ไร่ เกินหนี้จำนอง โจทก์ชอบที่จะบังคับเอาส่วนของจำเลยที่ 1, 2 ขอให้ยกฟ้องเฉพาะตัว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันนำต้นเงิน 21,500 บาทกับดอกเบี้ย 12,900 บาท มาไถ่ถอนจำนอง หากไม่ไถ่ถอน จึงให้ยึดที่จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 3 ไม่ใช่ผู้จำนอง จึงไม่ใช่ลูกหนี้โจทก์ จะบังคับให้ชำระหนี้ไม่ได้ แต่จำเลยที่ 3 ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางครอบครองและยังมิได้จดทะเบียน จึงต้องห้ามมิให้ยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1, 2 ร่วมกันใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ยึดที่ดินซึ่งจำนองไว้ทั้งแปลงขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสารสำคัญของคดีในชั้นฎีกามีว่า โจทก์ผู้รับจำนองจะบังคับจำนองเอากับทรัพย์ส่วนของจำเลยที่ 3 ที่มีคำพิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ไปโดยการครอบครองปรปักษ์ ทั้งที่จำเลยที่ 3 มิได้เป็นลูกหนี้โจทก์ จะได้หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ที่รายนี้ไป (20 ไร่) โดยการครอบครองและยังมิได้จดทะเบียนจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย สิทธิจำนองมิใช่เป็นแต่เพียงสิทธิเหนือบุคคลเท่านั้น แต่เป็นสิทธิครอบเหนือทรัพย์จำนองทั้งหมดด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 716 ทรัพย์ส่วนที่จำเลยที่ 3 ได้ไปโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น เป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของทรัพย์จำนอง โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับเอาชำระหนี้จำนองได้ จำเลยที่ 3 ต้องห้ามมิให้ยกขึ้นต่อสู้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 โจทก์ไม่จำต้องอาศัยกรรมสิทธิ์เป็นข้ออ้างก็ใช้ยันกับจำเลยได้แล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ และโดยเหตุที่ในคำให้การของจำเลยที่ 3 กล่าวว่า ที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1, 2 มีกว่า 100 ไร่ มีค่าเกินกว่าหนี้ที่รับจำนอง โจทก์ชอบที่จะบังคับเอาส่วนของจำเลยที่ 1, 2 ก่อนนั้น มิได้มีการสืบค้นหาถึงราคาที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1, 2 ว่าพอที่จะชำระหนี้โจทก์หรือไม่ แต่เนื่องจากที่ดินแปลงนี้เป็นแปลงใหญ่ อาจแยกส่วนที่จำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองเป็นอีกตอนหนึ่งได้ ดังนั้น เมื่อจะขายทอดตลาดที่ดินรายนี้ก็อาจแยกที่ดินตอนที่เป็นของจำเลยที่ 1, 2 ขายไปก่อนได้ สุดแล้วแต่เหตุผลที่สมควรให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 309 มาตรา 702 อันว่าจำนองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญมิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่ -มาตรา 716 จำนองย่อมครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งจำนองหมดทุกสิ่งแม้จะได้ชำระหนี้แล้วบางส่วน -มาตรา 1299 ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือ กฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอัน เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและ ได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียน นั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและ โดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ป.วิ.พ. มาตรา 309 มาตรา 309 ในการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตาม คำพิพากษานั้นให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติตามข้อบังคับต่อไปนี้ บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินซึ่งจะต้องขาย อาจร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรวมหรือแยกทรัพย์สิน หรือขอให้ขายทรัพย์สินนั้นตามลำดับที่กำหนดไว้ หรือจะร้องคัดค้าน คำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่สั่งตามสามอนุ มาตรา ก่อนนั้นก็ได้ ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมปฏิบัติตามคำร้องขอหรือ คำคัดค้านเช่นว่านั้น ผู้ร้องจะยื่นคำขอต่อศาลโดยทำเป็นคำร้อง ภายในสองวันนับตั้งแต่วันปฏิเสธ เพื่อขอให้มีคำสั่งชี้ขาดในเรื่องนั้น ก็ได้ คำสั่งของศาลให้เป็นที่สุด และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเลื่อน การขายไปจนกว่าศาลจะได้มีคำสั่ง หรือจนกว่าจะได้พ้นระยะเวลา ซึ่งให้นำเรื่องขึ้นสู่ศาลได้ |
การโอนสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ สิทธิไถ่ถอนการขายฝาก สร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ข้อตกลงยกเว้นความรับผิดเพื่อละเมิด |