การฉกฉวยเอาทรัพย์ไปซึ่งหน้า -ปรึกษากฎหมาย นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (1) @leenont (2) @peesirilaw (3) 0859604258 เพิ่มด้วยหมายเลขโทรศัพท์ -Line Official Account : เพิ่มเพื่อน QR CODE
ข้อ. 5 การฉกฉวยเอาทรัพย์ไปซึ่งหน้า ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ การขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ ข้อ 5. นายก้าง กับนายกรอบ ยืนดักคอยล้วงกระเป๋าผู้ที่เข้าไปพักผ่อนหย่อนใจและชมการแสดงดนตรีในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ขณะนั้นนางสาวผุดผ่อง กำลังยืนดูดนตรีกับนายกล้าม คนรัก นายก้าง บอกให้นายกรอบ เข้าไปกระตุกสร้อยคอของนางสาวผุดผ่อง ที่ห้อยออกมานอกเสื้อ นายกรอบ ทำท่าลังเล นายก้าง จึงเข้าไปกระตุกสร้อยคอวิ่งหนีไป ส่วนนายกรอบ ถูกนายกล้า จับตัวไว้ จึงร้องตะโกนเรียกให้นายก้าง ช่วย นายก้าง จึงย้อนกลับไปใช้อาวุธมีดที่นำติดตัวมาขู่นายกล้าม ว่า หากไม่ยอมปล่อยตัวนายกรอบ จะแทงให้ตาย นายกล้าม กลัวจึงปล่อยตัว นายกรอบ ไป ให้วินิจฉัยว่า นายก้าง และนายกรอบ มีความผิดฐานใดหรือไม่ ธงคำตอบ การที่นายก้าง ตัดสินใจเข้าไปกระตุกสร้อยคอของนางสาวผุดผ่อง ตามลำพังเป็นการฉกฉวยเอาทรัพย์ไปซึ่งหน้า นายก้าง จึงมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ส่วนนายกรอบ มิได้มีเจตนาร่วมในการกระตุกสร้อยคอด้วยจึงไม่เป็นตัวการในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ คงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ตามมาตรา 335(7) เท่านั้น หลังจากนั้น นายก้าง ได้ย้อนกลับไปใช้อาวุธมีดขู่นายกล้าม ว่าจะแทงให้ตายหากไม่ยอมปล่อยตัวนายกรอบ จึงเป็นการขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้นายกรอบ พ้นจากการจับกุม โดยการขู่เข็ญเกิดจากการขอร้องของนายกรอบ และยังไม่ขาดตอนจากการวิ่งราวทรัพย์ (ทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 600/2544) การกระทำของนายก้าง และนายกรอบ จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตามมาตรา 339, 83 เมื่อร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป และกระทำโดยมีอาวุธ ต้องด้วยลักษณะที่บัญญัติไว้ ตามมาตรา 335 (7) นายก้าง และนายกรอบ จึงต้องรับโทษตามมาตรา 339 วรรคสอง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำ ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีและปรับ ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่ สี่พันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกพันบาท ถึงสองหมื่นบาท ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้อง ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาท ถึงสามหมื่นบาท มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองพันบาท ถึงหนึ่งหมื่นบาท ถ้าความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะ ดังที่บัญญัติไว้ในอนุ มาตรา ดังกล่าวแล้วตั้งแต่สองอนุ มาตรา ขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่ สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท ถ้าความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำต่อทรัพย์ที่เป็นโค กระบือ เครื่องกล หรือเครื่องจักรที่ผู้มีอาชีพกสิกรรมมีไว้สำหรับ ประกอบกสิกรรมผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวใน มาตรานี้ เป็นการกระทำ โดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทานและทรัพย์นั้นมีราคา เล็กน้อยศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 334 ก็ได้ มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปี ถึงสิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองหมื่นบาท ถ้าความผิดนั้นเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ ในอนุ มาตรา หนึ่งอนุมาตรา แห่ง มาตรา 335 หรือเป็นการกระทำต่อ ทรัพย์ที่เป็นโค กระบือ เครื่องกลหรือเครื่องจักร ที่ผู้มีอาชีพกสิกรรม มีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้อง ระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาท ถึงสี่หมื่นบาท ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้อง ระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต มาตรา 83 ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวาง โทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2544 เมื่อผู้เสียหายเห็นจำเลยทั้งสองกำลังลักเอามะม่วงอยู่ และกำลังจะนำมะม่วงที่เด็ดจากขั้วไว้แล้วออกไปนอกสวน ผู้เสียหายจึงเข้าจับกุมตัวจำเลยที่ 1เห็นได้ว่าเหตุการณ์ตอนนี้การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ยังดำเนินอยู่ไม่ขาดตอน จำเลยที่ 2 ซึ่งในตอนแรกได้วิ่งหลบหนีไปสักครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับถือท่อนไม้ไผ่ตรงเข้าเงื้อจะตีทำร้ายผู้เสียหาย และในทันทีนั้นได้พูดขู่ผู้เสียหายว่า "วางเมียผมเดี๋ยวนี้ หากไม่วางจะตีพ่อใหญ่ให้ตาย" ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2ได้พูดขู่เข็ญผู้เสียหายว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เสียหายปล่อยตัวจำเลยที่ 1 ให้พ้นจากการจับกุมอันเป็นการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2065/2541 ของศาลชั้นต้น โดยให้เรียกจำเลยในคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยในสำนวนนี้ว่า จำเลยที่ 2 แต่คดีสำหรับจำเลยที่ 1ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 83 ริบไม้ไผ่ของกลาง จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุกคนละ 10 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุกคนละ 5 ปี ริบไม้ไผ่ของกลาง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3)(7)(12) วรรคสาม (ที่ถูกวรรคสอง)ให้จำคุก 1 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2ประการแรกว่า จำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า ขณะที่จำเลยทั้งสองกำลังลักเอามะม่วงของผู้เสียหายอยู่นั้น ผู้เสียหายเห็นการกระทำจึงได้ตรงเข้าจับกุมตัวจำเลยที่ 1 ไว้ได้จากนั้นได้ลากตัวจำเลยที่ 1 มายังที่ที่มีสายไฟฟ้าวางอยู่เพื่อจะใช้สายไฟฟ้ามัดตัวไว้ส่วนจำเลยที่ 2 ได้วิ่งหลบหนีไปได้ประมาณ 15 เมตรแล้ววิ่งกลับมายังที่ที่ผู้เสียหายกำลังจับตัวจำเลยที่ 1 ไว้ ในมือจำเลยที่ 2 ถือท่อนไม้ไผ่ยาว 175 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว เงื้อจะตีผู้เสียหายพร้อมกับพูดว่า "วางเมียผมเดี๋ยวนี้ หากไม่วางจะตีพ่อใหญ่ให้ตาย" เห็นว่า เมื่อผู้เสียหายเห็นจำเลยทั้งสองกำลังลักเอามะม่วงอยู่นั้นและกำลังจะนำมะม่วงที่เด็ดจากขั้วไว้แล้วนั้นออกไปนอกสวน ผู้เสียหายเห็นการกระทำจึงเข้าจับกุมตัวจำเลยที่ 1 จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ตอนนี้การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ยังดำเนินอยู่ยังไม่ขาดตอน จำเลยที่ 2 ซึ่งในตอนแรกได้วิ่งหลบหนีไปสักครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับถือท่อนไม้ไผ่ตรงเข้าเงื้อจะตีทำร้ายผู้เสียหาย และในทันทีนั้นได้พูดขู่ผู้เสียหายขึ้นว่า "วางเมียผมเดี๋ยวนี้ หากไม่วางจะตีพ่อใหญ่ให้ตาย" ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ขู่เข็ญผู้เสียหายว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายทั้งนี้เพื่อให้ผู้เสียหายปล่อยตัวจำเลยที่ 1 ให้พ้นจากการจับกุมอันเป็นการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ได้บัญญัติถึงเจตนาของผู้กระทำไว้หลายประการด้วยกันที่จะถือว่าเป็นการชิงทรัพย์ หาใช่เป็นเพียงแต่การใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือพาทรัพย์นั้นไปหรือให้พ้นจากการจับกุมเท่านั้นไม่ ยังมีเจตนาในประการอื่นอีก หาเป็นดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาไม่ ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจละม้าย สกลพิทักษ์เกี่ยวกับขนาดของไม้ไผ่ท่อนที่ใช้เป็นอาวุธแตกต่างกันเป็นพยานที่เชื่อถือไม่ได้นั้น เห็นว่า คำเบิกความดังกล่าวเป็นเพียงการเบิกความถึงรายละเอียดเล็กน้อยเป็นพลความ หาใช่สาระสำคัญไม่ ปัญหาวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า คดีมีเหตุอันควรที่จะลงโทษจำเลยที่ 2ในสถานเบาหรือรอการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง กำหนดโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนดสิบปีอันเป็นอัตราโทษขั้นต่ำสุดแล้วจึงไม่อาจลดโทษจำคุกแก่จำเลยที่ 2 ได้อีก ส่วนปัญหาในเรื่องการรอการลงโทษนั้น เมื่อศาลล่างทั้งสองได้ลงโทษจำคุกแก่จำเลยที่ 2 ในชั้นที่สุดมีกำหนด 5 ปี เช่นนี้เป็นการลงโทษจำคุกเกินสองปีจึงไม่อาจรอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 แก่จำเลยที่ 2 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน ข้อ 5. นายค่อมหลงรักเด็กหญิงติ๋มอายุ 12 ปี 11 เดือน ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้กัน นายค่อม เข้าใจว่าเด็กหญิงติ๋ม อายุ 16 ปี เพราะมีรูปร่างอวบและตัวใหญ่ เช้าวันหนึ่งนายค่อม โทรศัพท์ชวนให้เด็กหญิงติ๋ม มารับประทานผลไม้ที่บ้าน โดยตั้งใจจะล่วงเกินทางเพศ เมื่อเด็กหญิงติ๋ม เข้ามาในบ้านแล้ว ยังไม่ทันที่จะล่วงเกิน นางส้ม มารดาความเด็กหญิงติ๋ม มาตามให้กลับบ้าน ขณะที่เด็กหญิงติ๋ม เดินออกจากบ้านหันหลังให้ นายค่อมอาศัยโอกาสที่เด็กหญิงติ๋ม เผลอ กระตุกเอาสร้อยเส้นเล็กๆที่คอไป แล้วนำไปซ่อนไว้ที่หัวเตียง ตอนเย็นนางส้มไปทวงสร้อยคืนเพราะเชื่อว่านายค่อม เป็นผู้เอาไป นายค่อม ปฏิเสธ ชกต่อยและเตะนางส้มจนปากแตกฟันหัก1 ซี่ ให้วินิจฉัยว่านายค่อม มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง ธงตำตอบ การที่นายค่อม ชวนเด็กหญิงติ๋ม ไปที่บ้านของตนเพื่อล่วงเกินทางเพศ การชวนเป็นการพรากเด็กหญิงติ๋มไปจากนางส้มมารดาผู้ดูแลแล้ว และเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพราะเพื่อการอนาจาร นายค่อม มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม ทั้งจะอ้างความเข้าใจผิดในอายุของเด็กหญิงติ๋มไม่ได้ ทั้งนี้ตามมาตรา 321 /1 ซึ่งบัญญัติว่า การกระทำความผิดตามมาตรา 317 หากเป็นการกระทำต่อเด็ก อายุไม่เกินสิบสามปี ห้ามอ้างความไม่รู้อายุของเด็ก เพื่อให้พ้นจากความผิดนั้น การฉกฉวยเอาซึ่งหน้าที่จะเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ นั้นหมายถึง กิริยาที่หยิบหรือจับเอาทรัพย์ไปโดยเร็วรวมเป็นการกระทำอันเดียวกับการเอาไป แต่ขณะที่ถูกเอาทรัพย์ไป ผู้นั้นรู้สึกตัวหรือเห็นการฉกฉวยเอาทรัพย์นั้น(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 919 / 2503, 10976 / 2554) เมื่อนายค่อม กระตุกสร้อยคอไปจากเด็กหญิงติ๋ม ในขณะเผลอ จึงไม่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ดังนั้นนายค่อมจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 แต่ไม่เป็นการลักทรัพย์ในเคหะสถาน ตามมาตรา 335 วรรคแรก (8) เพราะกระทำในเคหะสถานของตนเอง มิได้เข้าไปในเคหะสถานโดยไม่ได้รับอนุญาต การที่นายค่อม ทำร้ายร่างกายนางส้ม แม้จะกระทำเพื่อยึดถือเอาทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ นายค่อม ไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 เพราะการทำร้ายร่างกายขาดตอนไปจากความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว นายค่อมจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายตามมาตรา 296 ประกอบกับ มาตรา 289 (7) เพราะเป็นการทำร้ายเพื่อจะเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 919/2503 จำเลยเข้าไปในร้านขอซื้อสุราเจ้าของร้านบอกว่าหมดเวลาแล้วขายไม่ได้ จำเลยพูดว่าไม่ขายก็จะเอาไปกินเฉยๆ จะทำอะไรเขา แล้วจำเลยหยิบขวดสุราออกจากร้านไปด้วย ดังนี้เป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าเข้าองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ คดีมีประเด็นสู่ศาลฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 3 ซึ่งได้ความว่า จำเลยที่ 3 พร้อมด้วยจำเลยที่ 1, 2 ได้ไปที่ร้านผู้เสียหายจำเลยที่ 1-3 พูดขอซื้อสุราแม่โขงครึ่งขวด ผู้เสียหายว่า หมดเวลาแล้วขายไม่ได้จำเลยที่ 3 พูดว่า ไม่ขายก็จะเอาไปกินเฉย ๆ จะทำอะไรเขา แล้วหยิบสุราแม่โขงครึ่งขวดซึ่งตั้งอยู่ที่ขายเดินออกไปแล้วพากันขึ้นรถยนต์ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 3 กับพวกได้ โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336, 83 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีผิดตามฟ้อง จำคุก 3 ปียกฟ้องจำเลยที่ 1-2 จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 3 มีผิดตามมาตรา 334 จำคุก 8 เดือน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 หยิบสุราแม่โขงครึ่งขวดของผู้เสียหายไปต่อหน้าผู้เสียหายแล้วเดินออกจากร้าน เป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าเข้าองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์แล้ว พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10976/2554 ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เป็นการลักทรัพย์โดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า หมายถึง กิริยาที่หยิบหรือจับเอาทรัพย์ไปโดยเร็วรวมเป็นการกระทำอันเดียวกับการเอาไป และขณะที่ถูกเอาทรัพย์ไปผู้นั้นรู้สึกตัวหรือเห็นการฉกฉวยเอาทรัพย์นั้นไปด้วย การที่จำเลยดึงเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่จากกระเป๋ากางเกงของเด็กหญิง บ. แล้วเด็กหญิง บ. รู้สึกถึงการถูกดึงจึงใช้มือจับจนถูกมือของจำเลย จึงอยู่ในความหมายของการลักทรัพย์โดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามฟ้องแล้ว โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 และให้จำเลยคืนโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือใช้ราคา 2,800 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคแรก จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติเบื้องต้นว่า มีคนร้ายดึงเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนางละออง ผู้เสียหาย ซึ่งอยู่ในกระเป๋าด้านหลังของกางเกงที่นางสาวบุษรินทร์ บุตรสาวของผู้เสียหายสวมใส่อยู่ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีเด็กหญิงบุษรินทร์เป็นพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มาเบิกความยืนยัน พยานมีโอกาสเห็นจำเลยก่อนที่จำเลยจะดึงเอาโทรศัพท์ และพยานรู้สึกตัวในทันทีที่จำเลยดึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ พยานจึงเอามือไปจับกระเป๋ากางเกงและยังไปถูกมือของจำเลยด้วย พยานเป็นเด็กอายุเพียง 13 ปี ไม่เคยรู้จักและมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทั้งในขณะนั้นไม่มีบุคคลอื่นที่อยู่ใกล้ชิดพยานอีกอันจะทำให้เป็นไปได้ว่าคนร้ายเป็นผู้อื่นเพราะเมื่อเกิดเหตุพยานก็ระบุทันทีว่าคนร้ายสวมเสื้อยืดสีเหลืองนุ่งกางเกงขาสั้นลายพรางทหาร ซึ่งจำเลยยอมรับว่าจำเลยแต่งกายลักษณะดังกล่าวและไม่มีบุคคลอื่นแต่งกายคล้ายคลึงกับจำเลย เชื่อว่า พยานปากดังกล่าวรู้สึกตัวขณะจำเลยลักเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ไป ส่วนผู้เสียหายเบิกความถึงเหตุการณ์ต่อมาว่า เด็กหญิงบุษรินทร์บอกว่าถูกดึงเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ไป และชี้มาที่จำเลยกับบอกลักษณะการแต่งตัวของจำเลยทันที ผู้เสียหายเดินตามจำเลย จำเลยเดินเร็วขึ้น เมื่อผู้เสียหายเดินตามทันและถามจำเลยถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำเลยปฏิเสธและรูดซิปเปิดกระเป๋ากางเกงของจำเลยให้ดู 2 ใบ และดูในถุงพลาสติกที่จำเลยถือไม่พบโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ตาม แต่ก็ได้ความว่าเสื้อและกางเกงของจำเลยมีกระเป๋าหลายใบผู้เสียหายไม่มีโอกาสได้ดูจนทั่ว และเด็กหญิงบุษรินทร์เบิกความว่าเห็นจำเลยเอาโทรศัพท์ไว้แนบที่ขา แต่ไม่ได้มีการค้นหาในตำแหน่งดังกล่าว เมื่อไม่พบโทรศัพท์เคลื่อนที่ผู้เสียหายถามเด็กหญิงบุษรินทร์อีกครั้งหนึ่งว่าจำคนผิดหรือไม่ เด็กหญิงบุษรินทร์ยังยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายและจำคนไม่ผิด การที่ผู้เสียหายเบิกความเช่นนี้ย่อมแสดงว่าในขณะเกิดเหตุนั้นผู้เสียหายไม่ได้คิดปรักปรำจำเลย ทั้งผู้เสียหายไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อนและได้ความอีกว่าต่อมาในภายหลังเมื่อบิดาของจำเลยนำเงินมามอบให้ผู้เสียหายจึงทราบว่าบิดาของจำเลยเป็นญาติกับบิดาของผู้เสียหาย การที่ผู้เสียหายคงเบิกความยืนยันตรงกันกับที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวน เชื่อว่า ผู้เสียหายเบิกความไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้เบิกความปรักปรำให้จำเลยต้องรับโทษ พยานหลักฐานโจทก์จึงสมเหตุผลมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ลักเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่จากเด็กหญิงบุษรินทร์ ส่วนพยานหลักฐานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ที่จำเลยฎีกาว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งเป็นทรัพย์ถูกประทุษร้ายนั้นมีอยู่จริงหรือไม่เพราะโจทก์ไม่มีใบเสร็จรับเงินการซื้อขายมาแสดง ผู้เสียหายสามารถขอค้นกระเป๋ากางเกงใบอื่นได้ แต่ผู้เสียหายก็ไม่กระทำ และโจทก์ไม่ได้นำนายเต่าผู้ที่เห็นเหตุการณ์มาเบิกความ พยานหลักฐานโจทก์จึงเป็นพิรุธ ปรากฏว่าจำเลยไม่เคยนำสืบโต้แย้งว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายไม่มีอยู่จริง ส่วนการขอดูกระเป๋ากางเกงจำเลย จำเลยก็นำสืบว่าในขณะนั้นจำเลยให้ผู้เสียหายตรวจดูจนเป็นที่พอใจแล้ว ส่วนนายเต่าไม่รู้เห็นการกระทำความผิด การที่โจทก์ไม่ได้นำเข้าเบิกความจึงไม่เป็นพิรุธแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดจริงจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยไม่ใช่การลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า แต่เป็นการลักทรัพย์ในขณะที่เด็กหญิงบุษรินทร์เผลออันเป็นการลอบลัก จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เท่านั้น เห็นว่า ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เป็นการลักทรัพย์โดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ซึ่งหมายถึงกิริยาที่หยิบหรือจับเอาทรัพย์ไปโดยเร็วรวมเป็นการกระทำอันเดียวกับการเอาไป และขณะที่ถูกเอาทรัพย์ไปผู้นั้นรู้สึกตัวหรือเห็นการฉกฉวยเอาทรัพย์นั้นไปด้วย ดังนั้นการที่จำเลยดึงเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่จากกระเป๋ากางเกงของเด็กหญิงบุษรินทร์ แล้วเด็กหญิงบุษรินทร์รู้สึกถึงการถูกดึงจึงใช้มือจับจนถูกมือของจำเลยจึงอยู่ในความหมายของการลักทรัพย์โดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า อันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามฟ้องแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ จึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็แก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 แต่โจทก์ไม่ได้ฎีกาศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขเพิ่มโทษที่ลงแก่จำเลยได้ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
|