อายุความคดีมรดก และอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดก แบ่งมรดกไม่สุจริตเป็นการกระทำที่ไม่ชอบการจัดการมรดกจึงยังไม่เสร็จสิ้น ตั้งแต่กระบวนการตั้งผู้จัดการมรดกมีการปกปิดทายาท การแบ่งทรัพย์มรดกเป็นไปในทางที่ไม่สุจริต การโอนทรัพย์มรดกให้กับตนเองเพียงคนเดียวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ โดยไม่มีการแจ้งให้ทายาททราบ กรณีต้องถือว่าเป็นการครอบครองทรัพย์มรดกของผู้ตายแทนทายาทอื่นตลอดมา ผู้จัดการมรดกยังคงมีหน้าที่ต้องจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคนตามสิทธิของทายาท การจัดการมรดกจึงยังไม่สิ้นสุดลงจะนำอายุความห้าปี และอายุความฟ้องเรียกทรัพย์มรดกหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่ทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรรู้ถึงความตายของเจ้ามรดกหรือพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตายมาใช้บังคับไม่ได้ แม้ทรัพย์มรดกจะโอนเกินกว่าห้าปีและโจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นสิบปีคดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2729/2565 คดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกกับคดีมรดกเป็นคนละประเภทกัน กฎหมายบัญญัติแยกไว้คนละส่วนและให้อยู่ในบังคับแห่งอายุความฟ้องร้องคนละมาตรา โดยอายุความฟ้องคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกนั้น มิให้ทายาทฟ้องเกินห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง ส่วนคดีมรดกมีอายุความหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดกตามมาตรา 1754 วรรคหนึ่ง แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตายตามมาตรา 1754 วรรคสี่ เมื่อโจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่ของมารดาในทรัพย์มรดกของ ส. ที่ พ. ปกปิดความเป็นทายาทของมารดาโจทก์ และ พ. ไม่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิตามกฎหมาย จึงเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การตั้งผู้จัดการมรดกมีการปกปิดทายาท การแบ่งทรัพย์มรดกเป็นไปในทางที่ไม่สุจริต การโอนทรัพย์มรดกให้กับตนเองเพียงคนเดียวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ โดยไม่มีการแจ้งให้ทายาททราบ เมื่อเป็นการกระทำที่ไม่ชอบจึงไม่อาจถือว่าการจัดการมรดกสิ้นลงแล้ว กรณีต้องถือว่า พ. ครอบครองทรัพย์มรดกของผู้ตายแทนทายาทอื่น ผู้จัดการมรดกยังคงมีหน้าที่ต้องจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคน ตามสิทธิของทายาทที่กฎหมายกำหนดไว้ การจัดการมรดกจึงยังไม่สิ้นสุดลงจะนำอายุความห้าปี ตามมาตรา 1733 วรรคสอง และอายุความฟ้องเรียกทรัพย์มรดกหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่ทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรรู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ตามมาตรา 1754 วรรคหนึ่ง หรือพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตายตามวรรคสี่มาใช้บังคับไม่ได้ แม้ทรัพย์มรดกจะโอนเกินกว่าห้าปีและโจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้วก็ตาม คดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นทายาทผู้รับมรดกแทนที่นางสุภาพร ในกองมรดกของนางสว่าง และให้โจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่นางสุภาพรตามส่วนที่นางสุภาพรมีสิทธิได้รับจากกองมรดกของนางสว่าง และให้เพิกถอนการกระทำนิติกรรมทุกรายการที่นางสาวพรรณีและจำเลยทั้งเก้ากระทำแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 2290, 2100, 2098, 2099, 2298 และ 2575 และที่ดินโฉนดเลขที่ 2465, 2286 และ 2287 เว้นแต่การจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินให้แก่ทางหลวงชนบทและให้นายทะเบียนจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินดังกล่าวทั้งเก้าแปลงตามส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกแทนที่นางสุภาพร ให้เพิกถอนการโอนโฉนดที่ดินเลขที่ 273956, 274063 และ 288974 (ที่ถูก 288994) และเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 274063 ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 4 หากไม่สามารถเพิกถอนได้ให้นายทะเบียนจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินดังกล่าวกึ่งหนึ่ง กับให้จำเลยทั้งเก้าซึ่งร่วมทำนิติกรรมในที่ดินแต่ละแปลงใช้ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนและค่าภาษีทุกประเภทแทนโจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 ให้การขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 4 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา ศาลจังหวัดนครราชสีมาส่งสำนวนให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยเรื่องอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 11 ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นบุตรและเป็นผู้สืบสันดานของนางสุภาพร มีสิทธิรับมรดกแทนที่นางสุภาพรและมีสิทธิรับมรดกของนางสว่าง เจ้ามรดก เฉพาะส่วนแบ่งของนางสุภาพรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1639 กับให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 2286, 2287, 2290, 2100, 2098, 2099, 2298, 2575 และ 2465 ระหว่างนางสาวพรรณี ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่างกับนางสาวพรรณีในฐานะส่วนตัว และระหว่างนางสาวพรรณีกับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสาวพรรณี กับเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 2286, 2287, 273956, 274063, 288994, 2290, 2100, 2098, 2099, 280673, 280674 และ 2465 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสาวพรรณีกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 2298 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสาวพรรณีกับจำเลยที่ 3 กับเพิกถอนนิติกรรม การจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 2575 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสาวพรรณี กับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 และเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 2286 และ 274063 ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 4 และให้เจ้าพนักงานที่ดินใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2287, 273956, 274063, 288994, 2290, 2100, 2098, 2099, 280673 และ 280674 หนึ่งในสองส่วน ที่ดินโฉนดเลขที่ 2286 และโฉนดที่ดินเลขที่ 2298 สามในแปดส่วน และที่ดินโฉนดเลขที่ 2575 และโฉนดที่ดินเลขที่ 2465 หนึ่งในสี่ส่วน หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายรวม 300,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 50,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 9 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังว่า โจทก์เป็นบุตรของนายอัมพล กับนางสุภาพร นางสว่าง เจ้ามรดก จดทะเบียนสมรสกับนายทองอยู่ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2512 มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือนางสาวพรรณี จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นบุตรของนางสาวพรรณี เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2547 นายทองอยู่ถึงแก่ความตาย และวันที่ 25 มิถุนายน 2547 นางสว่างถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2547 ศาลจังหวัดนครราชสีมามีคำสั่งตั้งนางสาวพรรณีเป็นผู้จัดการมรดกของนายทองอยู่และนางสว่าง ต่อมาวันที่ 15 และวันที่ 16 พฤศจิกายน 2547 นางสาวพรรณีในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่างและนายทองอยู่จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 2286, 2287, 2465, 2290, 2100, 2098, 2099, 2298 และ 2575 ให้แก่ตนเอง วันที่ 29 เมษายน 2556 นางสาวพรรณีถึงแก่ความตาย วันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ศาลจังหวัดนครราชสีมามีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวพรรณี หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสาวพรรณีจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกที่ดินพิพาททั้ง 9 แปลงดังกล่าว และจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 2286, 2287, 2465, 2290, 2100, 2098 และ 2099 ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 2298 ให้แก่จำเลยที่ 3 และจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2575 ให้แก่จำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนแบ่งหักที่ดินโฉนดเลขที่ 2099 เนื้อที่ 2 งาน 41.7 ตารางวา และเนื้อที่ 2 งาน 11.9 ตารางวา เป็นที่สาธารณประโยชน์แก่ทางหลวงชนบท แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2099 เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 280673 และ 280674 แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2287 เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 273956, 274063 และ 288994 และจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2286 และ 274063 ให้แก่จำเลยที่ 4 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยตรงกันว่า นางสุภาพรมารดาโจทก์เป็นบุตรของนางสว่างเจ้ามรดกถึงแก่ความตายก่อนนางสว่างเจ้ามรดก โจทก์ซึ่งเป็นบุตรของนางสุภาพรเป็นผู้สืบสันดานโดยตรงจึงมีสิทธิรับมรดกแทนที่นางสุภาพร จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 9 ไม่ฎีกาในประเด็นนี้จึงต้องยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 ในระหว่างพิจารณาตกลงกันได้ โจทก์ไม่ได้ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ข้อแรกมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตั้งแต่กระบวนการตั้งผู้จัดการมรดกมีการปกปิดทายาท การแบ่งทรัพย์มรดกเป็นไปในทางที่ไม่สุจริต การโอนทรัพย์มรดกให้กับตนเองเพียงคนเดียวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ โดยไม่มีการแจ้งให้ทายาททราบ เมื่อเป็นการกระทำที่ไม่ชอบจึงไม่อาจถือว่าการจัดการมรดกสิ้นลงแล้ว กรณีต้องถือว่านางสาวพรรณีครอบครองทรัพย์มรดกของผู้ตายแทนทายาทอื่น ผู้จัดการมรดกยังคงมีหน้าที่ต้องจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคน ตามสิทธิของทายาทที่กฎหมายกำหนดไว้ การจัดการมรดกจึงยังไม่สิ้นสุดลงจะนำอายุความห้าปี ตามมาตรา 1733 วรรคสอง และอายุความฟ้องเรียกทรัพย์มรดกหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่ทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรรู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ตามมาตรา 1754 วรรคหนึ่ง หรือพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตายตามวรรคสี่มาใช้บังคับไม่ได้ แม้ทรัพย์มรดกจะโอนเกินกว่าห้าปีและโจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้วก็ตาม คดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ข้อที่สองมีว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 2575 จำเลยที่ 1 ขายให้จำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 เห็นว่า โจทก์ได้ที่ดินของนางสว่างโดยการรับมรดกแทนที่ถือได้ว่าเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม แต่จำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนขายที่ดินให้แก่ จำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 แล้ว ได้ความว่าที่ดินแปลงที่จำเลยที่ 1 ขายให้จำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 ด้วยความสุจริต เสียค่าตอบแทน การที่ศาลชั้นต้นได้นำหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนมาใช้บังคับ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อโฉนดที่ดินมีชื่อจำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โจทก์จึงไม่อาจยกสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้ซื้อที่ดินพิพาทโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง และมาตรา 1300 แต่คดีนี้แม้โจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินหรือชดใช้ราคาแทนที่ดิน โจทก์ไม่นำสืบว่า จำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 ซื้อที่ดินโดยไม่สุจริต และเมื่อพิจารณาราคาซื้อขายที่ดิน มีราคาสูงกว่าราคาประเมินมาก จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 เป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต เสียค่าตอบแทนย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1299 วรรคสอง ดังนี้กรณีจึงไม่อาจเพิกถอนการโอนได้ แต่เงินที่จำเลยที่ 1 ได้รับมาจากการขายที่ดินมรดกเป็นเงินเข้าแทนที่ที่ดินมรดก ถือได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นมรดกในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 วรรคสอง โดยมีส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้รับรวมอยู่ด้วย ฉะนั้น จึงให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์ จึงไม่นอกเหนือหรือเกินไปจากคำขอ แต่สำหรับที่ดินที่เป็นทรัพย์มรดกของนางสว่าง นางพรรณีโอนที่ดินทั้งหมดเป็นของนางพรรณีในฐานะส่วนตัว และจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์มรดกของนางสว่างไปให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 นั้น เห็นว่า เป็นทรัพย์มรดกของนางสว่างในส่วนที่โจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่ของมารดาโจทก์ที่มีสิทธิรับมรดก จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมมีสิทธิขอเพิกถอนได้เพราะผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เว้นแต่กรณีโอนให้บุคคลภายนอกผู้สุจริต เสียค่าตอบแทนย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1299 วรรคสอง และมาตรา 1300 สำหรับจำเลยที่ 2 ที่โจทก์ฎีกาขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 2286 และ 274063 ให้แก่จำเลยที่ 4 นั้น เห็นว่า โจทก์ตกลงกับจำเลยที่ 4 ได้ โดยจำเลยที่ 4 จ่ายเงินให้โจทก์จำนวน 4,300,000 บาท แล้ว เมื่อโจทก์รับเงินแล้วจึงแถลงต่อศาลว่าจะไม่บังคับคดีในส่วนของจำเลยที่ 4 ในคดีนี้อีกต่อไป ตามคำแถลงฉบับลงวันที่ 24 ตุลาคม 2562 และไม่ได้ฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 4 เท่ากับโจทก์พอใจในการขายที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ 4 แล้ว จึงไม่อาจเพิกถอนการโอนที่ดินดังกล่าวได้ย่อมมีผลให้จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดในการขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวแก่โจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นบางส่วน และเห็นพ้องด้วยในผลที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ จึงฟังขึ้นบางส่วน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อสุดท้ายมีว่า โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งทรัพย์มรดกเพียงใด เห็นว่า เมื่อฟังว่าโจทก์เป็นบุตรของนางสุภาพรซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของนางสว่างเจ้ามรดก โจทก์ย่อมมีสิทธิรับมรดกแทนที่ของนางสุภาพร โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์เกี่ยวกับการแบ่งสัดส่วนทรัพย์มรดกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ถูกต้อง ประเด็นนี้ จึงฟังยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า นางสว่างเจ้ามรดกได้ที่ดินมาก่อนสมรสกับนายทองอยู่ ดังนั้น ที่ดินทั้ง 9 แปลง ได้แก่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 2290, 2287, 273956, 288994, 2100, 2098, 2099, 280673 และ 280674 จึงเป็นสินส่วนตัวของนางสว่างเจ้ามรดก เมื่อนายทองอยู่ถึงแก่ความตายก่อนนางสว่าง ต่อมาเมื่อนางสว่างเจ้ามรดกถึงแก่ความตายสิทธิในที่ดินทั้ง 9 แปลง จึงตกแก่นางสุภาพรและนางสาวพรรณีผู้สืบสันดานของนางสว่าง โจทก์มีสิทธิรับมรดกที่ดินทั้ง 9 แปลง คิดเป็นหนึ่งในสองส่วนของที่ดินทั้งหมด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1633 นางสว่างเจ้ามรดกกับนายทองอยู่จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2512 ต่อมาวันที่ 17 มกราคม 2517 นางสว่างเจ้ามรดกได้ที่ดินโฉนดเลขที่ 2286 และ 2298 โดยซื้อที่ดินทั้งสองแปลงจากนางพรสมาน เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2517 ดังนั้น ที่ดินทั้งสองแปลงนี้จึงเป็นทรัพย์สินที่นางสว่างเจ้ามรดกได้มาในระหว่างสมรสกับนายทองอยู่ ที่ดินทั้งสองแปลงจึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 (1) เมื่อนายทองอยู่ถึงแก่ความตายต้องแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยากันก่อนซึ่งเป็นของนางสว่างกึ่งหนึ่งทันทีที่นายทองอยู่ถึงแก่ความตาย ส่วนอีกกึ่งหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายทองอยู่ ซึ่งต้องแบ่งให้นางสว่างซึ่งเป็นภริยากับนางสาวพรรณีซึ่งเป็นบุตรคนละกึ่งหนึ่ง ทำให้นางสว่างมีสิทธิในที่ดินทั้งสองแปลง รวม 3 ใน 4 ส่วน เมื่อนางสว่างเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย จึงตกแก่นางสุภาพรและนางสาวพรรณีผู้สืบสันดานของนางสว่าง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับมรดกที่ดินทั้งสองแปลงของนางสว่างคนละกึ่งหนึ่งของสามในสี่ส่วนของที่ดินทั้งหมด ที่ดินโฉนดเลขที่ 2465, 2575 นายทองอยู่ได้ที่ดินโฉนดเลขที่ 2465 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2490 ก่อนจดทะเบียนสมรสกับนางสว่างเจ้ามรดกและได้รับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 2575 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2527 แม้ได้มาในระหว่างสมรส ที่ดินทั้งสองแปลงเป็นสินส่วนตัวของนายทองอยู่ เมื่อนายทองอยู่ถึงแก่ความตายจึงต้องแบ่งให้นางสว่างซึ่งเป็นภริยากับนางสาวพรรณีคนละกึ่งหนึ่ง ต่อมานางสว่างตายต้องแบ่งให้นางสุภาพรกับนางสาวพรรณีคนละกึ่งหนึ่งของหนึ่งในสองส่วน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้ด้วย แต่สำหรับที่ดินแปลงที่ขายไป ฟังได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2575 เป็นสินส่วนตัวของนายทองอยู่ เมื่อนำที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกไปขาย เงินที่ขายได้ย่อมเป็นทรัพย์มรดก เมื่อพิจารณาสัญญาซื้อขายที่ดินทั้งสามแปลง ที่ดินโฉนดเลขที่ 2575 ราคาซื้อขาย 50,500,000 บาท จะต้องนำมาแบ่งให้นางสว่างกับนางสาวพรรณีคนละกึ่งหนึ่ง จำนวน 25,250,000 บาท และเมื่อนางสว่างถึงแก่ความตาย แบ่งให้นางสุภาพรและนางสาวพรรณีคนละกึ่งหนึ่ง โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสี่ของที่ดินทั้งหมดเป็นเงิน 12,625,000 บาท จากจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกต้องรับผิดชอบนำเงินส่วนแบ่งทรัพย์มรดกที่โจทก์มีสิทธิได้รับมาชำระให้แก่โจทก์ และในฐานะผู้ขายที่ดิน จำนวนเงินดังกล่าวเป็นการใช้แทนที่ดินมรดกที่เพิกถอนไม่ได้ จึงไม่อาจกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 12,625,000 บาท ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินที่เป็นมรดกของนางสว่างโฉนดที่ดินที่มีชื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ อายุความคดีมรดก กับอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดก ในกรณีที่เจ้ามรดก ขณะถึงแก่ความตายไม่มีคู่สมรสและบุตร บิดามารดาถึงแก่ความตายไปแล้วมรดกจึงตกได้แก่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน มีปัญหาว่าถ้าพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันเสียชีวิตก่อนเจ้ามรดกแล้วส่วนของพี่น้องที่ตายก่อนเจ้ามรดกจะตกได้แก่ผู้ใด? คำตอบคือตกได้แก่ผู้สืบสันดานของผู้นั้น เป็นการรับมรดกแทนที่ กฎหมายกำหนดให้ฟ้องคดีมรดกภายใน 1 ปีนับแต่เจ้ามรดกตาย การที่ทายาทฟ้องผู้จัดการมรดกขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน ทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นเรื่องการฟ้องเกี่ยวกับการจัดการมรดกไม่ใช่การฟ้องเรียกให้แบ่งมรดกมีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะให้ฟ้องได้ภายใน 5 ปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงจะยกอายุความคดีมรดก 1 ปีขึ้นต่อสู้ไม่ได้ โจทก์เป็นบุตรของ พ. ซึ่งเป็นพี่สาวของผู้ตาย เมื่อขณะผู้ตายถึงแก่ความตายผู้ตายไม่มีคู่สมรสและบุตร ทั้งบิดามารดาก็ถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว มรดกของผู้ตายจึงตกทอดแก่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตาย ซึ่งรวมทั้ง พ. ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629(3) เมื่อ พ. ถึงแก่ความตายก่อนผู้ตาย โจทก์ซึ่งเป็นบุตรและผู้สืบสันดานของ พ. ย่อมมีสิทธิรับมรดกแทนที่ พ. โจทก์จึงเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายเฉพาะส่วนแบ่งของ พ. ตามมาตรา 1639 การต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 นั้นคดีก่อนจะต้องได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้ว เมื่อคดีก่อนโจทก์กับพวกได้ถอนฟ้องซึ่งตามมาตรา 176 อาจยื่นใหม่ได้ ทั้งคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี การที่โจทก์นำมูลคดีเดียวกันกับคดีดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวก จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 148 โจทก์เป็นทายาทฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และให้จำเลยที่ 2 คืนเงิน 40,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย สำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกจะยกอายุความมรดก 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์หาได้ไม่เพราะกฎหมายได้บัญญัติเรื่องอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดกที่ผู้จัดการมรดกจะต้องรับผิดต่อทายาทไว้โดยเฉพาะแล้วตามมาตรา 1733 วรรคสอง ซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี นับตั้งแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น เมื่อผู้ตายมิได้ทำพินัยกรรมจำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่ผู้รับพินัยกรรมอันจะถือว่าเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินและให้คืนเงินสดเพื่อนำมาแบ่งปันแก่ทายาท จึงเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยกอายุความมรดกตามมาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรณีที่วัตถุแห่งหนี้ให้กระทำนิติกรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้นเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดิน ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาโดยระบุเงื่อนไขแห่งการบังคับคดีว่า หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 276 บัญญัติไว้ จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ทายาทของนางกลิ้งผู้ตาย โจทก์ไม่อาจรับมรดกแทนที่นางพันได้ เพราะนางพันไม่ใช่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับผู้ตาย จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามคำสั่งศาล พินัยกรรมของผู้ตายฉบับลงวันที่ 10สิงหาคม 2534 ตามฟ้องสมบูรณ์ ลายพิมพ์นิ้วมือในช่องผู้ทำพินัยกรรมเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ตาย จำเลยที่ 1 โอนที่ดินสามแปลงและมอบเงิน 40,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามข้อกำหนดในพินัยกรรม ตามคำพิพากษาตามยอมคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 867/2537 ของศาลชั้นต้น โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 ขอให้โอนทรัพย์มรดกของผู้ตายต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1545/2537 ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว และโจทก์รู้ว่าผู้ตายซึ่งเป็นเจ้ามรดกถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน2535 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2538 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า พินัยกรรมฉบับลงวันที่ 10 สิงหาคม 2534 ของนางกลิ้งเสือนา ไม่มีผลบังคับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 545, 563 และ 669 ตำบลเกยไชย อำเภอชุมแสงจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2537 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสองและให้จำเลยที่ 2 ชดใช้เงินจำนวน 40,000 บาท แก่โจทก์เพื่อนำไปแบ่งปันแก่ทายาทโดยธรรมของนางกลิ้ง เสือนา ผู้ตาย ส่วนคำขออื่นให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นข้อแรกมีว่า โจทก์เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกามีใจความว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานแสดงว่าโจทก์เป็นบุตรของนางพัน เอมศรีหรือเสือนา พี่สาวผู้ตายโจทก์ไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายนั้น ในประเด็นนี้โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความยืนยันว่า โจทก์เป็นบุตรของนายแปลก เอมศรี กับนางพัน เอมศรีหรือเสือนา นางพันเป็นพี่สาวของผู้ตายร่วมบิดามารดาเดียวกันโดยเป็นบุตรของนายสว่างหรือหว่าง เสือนากับนางเคลือบ เสือนา นางสว่างและนางเคลือบถึงแก่ความตายก่อนนางพันมารดาโจทก์และนางพันมารดาโจทก์ถึงแก่ความตายก่อนผู้ตาย ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25พฤศจิกายน 2535 แล้วจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ตามสำเนาคำสั่งคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 334/2536 เอกสารหมาย จ.1 นางสมวงศ์ ทองนุช พยานโจทก์เบิกความว่า พยานเป็นบุตรนางผูก นางผูกเป็นพี่สาวของผู้ตาย โจทก์เป็นบุตรของนางพัน นางพันเป็นพี่สาวของผู้ตาย จำเลยที่ 1 เป็นบุตรนางเพียร นางเพียรเป็นพี่สาวของผู้ตาย นางผูกนางเพียรและนางพันถึงแก่ความตายก่อนผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย นายสำราญ เสือนา พยานโจทก์เบิกความว่า พยานเป็นบุตรนายเผื่อน เสือนากับนางเทียม เสือนา นายเผื่อนเป็นพี่ชายของผู้ตาย โจทก์เป็นบุตรนางพัน จำเลยที่ 1เป็นบุตรนางเพียร นางเพียรเป็นพี่สาวของผู้ตาย และนายประทุม อิ่มสมบัติ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า พยานกับโจทก์เป็นญาติกัน โดยมารดาโจทก์ชื่อนางพันและเป็นพี่สาวของนางธูปมารดาของพยาน นางพันเป็นพี่สาวของผู้ตาย นางพันกับผู้ตายและนางธูปเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน จำเลยที่ 1 เป็นบุตรนางเพียรซึ่งเป็นพี่สาวของผู้ตาย จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนายจุนกับนางเคลิ้ม โดยนายจุนเป็นพี่ชายของจำเลยที่ 1เห็นว่า โจทก์และพยานโจทก์ทั้งสามเบิกความมีรายละเอียดสอดคล้องต้องกันว่า โจทก์เป็นบุตรของนางพัน เอมศรีหรือเสือนา ซึ่งเป็นพี่สาวของผู้ตายร่วมบิดามารดาเดียวกันเฉพาะอย่างยิ่งพยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวต่างเป็นบุคคลในเครือญาติใกล้ชิดกับทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยทั้งสอง ซึ่งเชื่อได้ว่าย่อมรู้ความเป็นไปในเครือญาติได้ดี คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามจึงมีน้ำหนักในการรับฟัง ทั้งจำเลยที่ 1 เองก็เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านรับว่าโจทก์เป็นบุตรของนางพันและเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 2 มิได้นำสืบหักล้างหรือแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์เป็นบุตรของนางพันซึ่งเป็นพี่สาวของผู้ตาย ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้ตายไม่มีคู่สมรสและบุตร ทั้งบิดามารดาก็ถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว มรดกของผู้ตายจึงตกทอดแก่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตายซึ่งรวมทั้งนางพันมารดาโจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629(3) เมื่อนางพันถึงแก่ความตายก่อนผู้ตาย โจทก์ซึ่งเป็นบุตรและผู้สืบสันดานของนางพันย่อมมีสิทธิรับมรดกแทนที่นางพันโจทก์จึงเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายเฉพาะส่วนแบ่งของนางพัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1639 ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นข้อสองมีว่า ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1545/2537 ของศาลชั้นต้นหรือไม่เห็นว่า หลักเกณฑ์สำคัญประการหนึ่งที่จะเป็นฟ้องซ้ำอันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 นั้น คือ คดีก่อนศาลได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้ว แต่เมื่อปรากฏว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1545/2537 ของศาลชั้นต้น โจทก์กับพวกในคดีดังกล่าวได้ถอนฟ้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 บัญญัติว่า การทิ้งคำฟ้องหรือถอนฟ้องย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้น และกระทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการฟ้องเลย แต่ว่าคำฟ้องใด ๆ ที่ได้ทิ้งหรือถอนแล้วอาจยื่นใหม่ได้ ภายใต้บังคับบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ นอกจากนี้คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแต่อย่างใด การที่โจทก์นำมูลคดีเดียวกันกับคดีดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นคดีนี้ จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน จึงไม่ต้องห้ามตามบทกฎหมายมาตรา 148 ดังกล่าว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1545/2537 ของศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นข้อสี่มีว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 หรือไม่โดยจำเลยทั้งสองฎีกามีใจความว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน2535 ซึ่งโจทก์ทราบดีว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2535 ดังกล่าวจำเลยที่ 1 ไม่ได้ครอบครองทรัพย์มรดกของผู้ตายในระหว่างจัดการ จึงไม่ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาท และเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2537 จำเลยที่ 1โอนทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกของผู้ตายตลอดมา โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2538 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายเกินกว่า 1 ปี ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 นั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีจำเลยที่ 1เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายซึ่งได้รับแต่งตั้งโดยคำสั่งศาล โจทก์ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินทั้งสามแปลงซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และให้จำเลยที่ 2 คืนเงินจำนวน 40,000 บาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายจากจำเลยทั้งสองที่มีจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก สำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกจะยกอายุความมรดก 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์หาได้ไม่ เพราะกฎหมายได้บัญญัติเรื่องอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดกที่ผู้จัดการมรดกจะต้องรับผิดต่อทายาทไว้โดยเฉพาะแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733 วรรคสอง ซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี นับตั้งแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง จำเลยที่ 1 มีสิทธิยกอายุความ 5 ปีนี้เท่านั้นขึ้นต่อสู้โจทก์ ดังนั้น แม้โจทก์จะนำคดีนี้มาฟ้องเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2538ซึ่งพ้นกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่โจทก์รู้ถึงความตายของผู้ตายแล้วก็ตาม ฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ก็ไม่ขาดอายุความ ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่วินิจฉัยมาข้างต้นแล้วว่า ผู้ตายมิได้ทำพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.9 หรือ ล.4 หรืออีกนัยหนึ่งพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมปลอม จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่ผู้รับพินัยกรรมอันจะถือว่าเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกที่ดินทั้งสามแปลงและเงินสดจำนวน 40,000บาท ของผู้ตาย เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินและให้คืนเงินสดเพื่อนำมาแบ่งปันแก่ทายาท จึงเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยกอายุความมรดก 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้ โจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายได้ ฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นสุดท้ายมีว่า คดีนี้จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายไม่ได้ถูกฟ้องในฐานะส่วนตัว ศาลไม่อาจพิพากษาบังคับโดยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้นั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินทั้งสามแปลงระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรณีที่วัตถุแห่งหนี้อันให้กระทำนิติกรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้น เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสามแปลงระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 ดังกล่าว ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาโดยระบุเงื่อนไขแห่งการบังคับคดีว่าหากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 276 บัญญัติไว้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย" คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6444/2561 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันยักย้ายปิดบังทรัพย์มรดกของ ด. แบ่งปันกันเอง โดยจำเลยทั้งสามร่วมกันอ้างว่า ด. มีบุตร 3 คน ซึ่งเป็นความเท็จ และร่วมกันแบ่งทรัพย์มรดกของ ด. โดยไม่แบ่งปันให้แก่โจทก์และบุตร จำเลยทั้งสามสมควรที่จะถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดก และมีคำขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือแบ่งปันทรัพย์มรดกของ ด. ตามส่วนให้แก่โจทก์และบุตร ตามคำฟ้องและอุทธรณ์ของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันยักย้ายปิดบังทรัพย์มรดกของ ด. แบ่งปันกันเอง โดยไม่แบ่งปันให้แก่โจทก์และบุตร จำเลยทั้งสามสมควรที่จะถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดก และมีคำขอที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือแบ่งปันทรัพย์มรดกของ ด. ตามส่วนให้แก่โจทก์และบุตร ตามคำฟ้องและอุทธรณ์ของโจทก์ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสามแบ่งปันทรัพย์มรดกของ ด. ให้แก่โจทก์และบุตร ย่อมมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 และไม่อาจถือว่าโจทก์ฟ้องขอแบ่งปันทรัพย์มรดกของ ด. ประกอบกับเหตุแห่งการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกตามฟ้องเกิดขึ้นหลัง ด. ตายเกินกว่าระยะเวลา 1 ปีแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีได้แม้เกินระยะเวลา 1 ปี นับแต่ ด. ถึงแก่ความตาย ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ ป.พ.พ. มาตรา 1630 ตราบใดที่มีทายาทซึ่งยังมีชีวิตอยู่ หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ยังไม่ขาดสายแล้วแต่กรณีในลำดับหนึ่งๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1629 ทายาทผู้ที่อยู่ในลำดับถัดลงไปไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายเลย มาตรา 1639 ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) ถึงแก่ความตาย หรือถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่ ถ้าผู้สืบสันดานคนใดของบุคคลนั้นถึงแก่ความตายหรือถูกกำจัดมิให้รับมรดกเช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของผู้สืบสันดานนั้นรับมรดกแทนที่ และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นรายๆ สืบต่อกันเช่นนี้ไปจนหมดสาย มาตรา 1733 วรรคสอง คดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกนั้น มิให้ทายาทฟ้องเกินกว่าห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง มาตรา 1754 ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตายหรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก
ฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกตาม ป.มาตรา 1748ไม่อยู่ในอายุความมาตรา 1754 หากเป็นกรณีที่ทรัพย์มรดกนั้นยังไม่ได้แบ่งปัน และทายาทผู้นั้นครอบครองทรัพย์มรดกอยู่หรือมีทายาทอื่นครอบครองทรัพย์มรดกไว้แทน ย่อมสามารถฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ตามมาตรา 1748 โดยไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 1754 |